title
stringlengths 8
870
| text
stringlengths 0
298k
| __index_level_0__
int64 0
54.3k
|
---|---|---|
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 133/2549 เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 133/2549
เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร
เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ตาม
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
-----------------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนําเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามข้อ 3/1 ของคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หากค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนในแต่ละครั้งมีจํานวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท ผู้จ่ายเงินได้ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่หากการจ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนครั้งต่อไปซึ่งเมื่อนําไปรวมกับค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนครั้งที่ผ่านมาที่มีการจ่ายไปแล้วมีจํานวนตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทน โดยจะต้องนําเงินค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนที่จ่ายในครั้งก่อน ๆ มารวมคํานวณเพื่อหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนตามข้อ 1 ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงินหรือไม่ก็ตาม ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการจ่ายเงิน โดยมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และมีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
กรณีการจ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงิน ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงินและโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย จะต้องระบุ วัน เดือน หรือปีภาษีที่จ่ายเงินได้ เป็นวันเดียวกันกับวันที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กรณีมีการจ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนตามวรรคหนึ่ง ในแต่ละเดือนเป็นจํานวนหลายคราว ทําให้ผู้จ่ายเงินไม่สามารถหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด เพื่อเป็นการลดภาระการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้จ่ายเงินซึ่งมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย สําหรับการจ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยสามารถออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หนึ่งครั้งต่อเดือน แต่ผู้จ่ายเงินยังมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 50 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร และมีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ข้อ ๓ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนตามข้อ 1 ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยเป็นการจ่ายผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงิน และผู้จ่ายเงินมีความประสงค์แต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ผู้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนผู้จ่ายเงิน พร้อมทั้งยื่นรายการและชําระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงิน ก็สามารถกระทําได้ โดยจะต้องจัดทําสัญญาการตั้งตัวแทนและมอบอํานาจให้กระทําการแทนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นตัวแทนจะต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในนามของผู้จ่ายเงิน และต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในนามของผู้จ่ายเงินบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง สามารถเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการได้ ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะเป็นตัวแทนต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของผู้จ่ายเงิน โดยให้ดําเนินการตามข้อ 4
ข้อ ๔ กรณีบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามข้อ 3 ได้มีหนังสือแจ้งไปยังบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นคู่สัญญาเดิมโดยมีสาระสําคัญว่า บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะเป็นผู้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สําหรับค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทน และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแทน โดยกําหนดระยะเวลาให้ผู้จ่ายเงินตอบรับ เมื่อผู้จ่ายเงินตอบรับแล้ว ถือว่า หนังสือแจ้งดังกล่าวเป็นข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรแต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นตัวแทนแล้ว
กรณีบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามข้อ 3 ได้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินแล้ว ผู้จ่ายเงินไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย สําหรับการจ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทนในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งทําให้บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นตัวแทนไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นรายฉบับทุกครั้งที่จ่ายเงิน แต่ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ต้องจัดทํารายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เพื่อเป็นหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย และเมื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแทนผู้จ่ายเงินแล้ว บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะต้องระบุข้อความเพิ่มเติมในใบเสร็จรับเงินหรือใบกํากับภาษีของค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทน โดยมีสาระสําคัญว่า บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 เป็นจํานวน ..... บาท แทนผู้จ่ายเงินแล้ว และจะดําเนินการนําส่งภาษีดังกล่าวต่อกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะต้องจัดให้มีการ SCAN หรือพิมพ์ลายมือชื่อผู้รับมอบอํานาจในใบเสร็จรับเงินหรือใบกํากับภาษีดังกล่าวด้วย
รายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามวรรคสอง สามารถจัดทําเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ แต่จะต้องมีรายการอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(1) คําว่า “รายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายประจําเดือน ........ พ.ศ. ....” ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด
(2) ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ผู้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยมีข้อความว่า “ในฐานะผู้กระทําการแทนผู้จ่ายเงินได้ตามรายชื่อที่ระบุไว้ในเอกสารนี้”
(3) ประเภทเงินได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าหรือตัวแทน (Commission)
(4) ชื่อ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้จ่ายเงิน ซึ่งเป็นตัวการหลายตัวการ จํานวนเงินที่จ่าย และจํานวนภาษีที่หักไว้
(5) ลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๕ กรณีบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามข้อ 3 ได้ยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53 ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการ บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จะต้องระบุในช่องผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายว่า บริษัทหลักทรัพย์ ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะผู้กระทําการแทนผู้จ่ายเงินในใบแนบ ภ.ง.ด.53 พร้อมทั้งแนบรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามข้อ 4 วรรคสามด้วย ซึ่งเอกสารรายละเอียดดังกล่าวถือเป็นใบต่อแบบ ภ.ง.ด.53 โดยบริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จะต้องเขียนข้อความว่า “ใบต่อแบบ ภ.ง.ด.53” ไว้ในเอกสารรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด
บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการ สามารถใช้เอกสารรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามข้อ 4 วรรคสาม เป็นบัญชีพิเศษแสดงการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและการนําส่งภาษีได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 17 แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 7 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้และภาษีการค้า (ฉบับที่ 4) เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้หรือภาษีการค้า ณ ที่จ่าย มีบัญชีพิเศษ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
ข้อ ๖ บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตามข้อ 3 ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการสามารถใช้สําเนาแบบ ภ.ง.ด.53 และหลักฐานใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรที่รับชําระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นหลักฐานในการเครดิตภาษีตามมาตรา 60 แห่งประมวลรัษฎากรได้
ข้อ ๗ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ หรือหนังสือตอบข้อหารือหรือทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,812 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 132/2548 เรื่อง การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 มาตรา 65 ทวิ (5) มาตรา 65 ทวิ (8) และมาตรา 79/4 แห่งประมวลรัษฎากร
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 132/2548
เรื่อง การคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 มาตรา 65 ทวิ (5) มาตรา 65 ทวิ (8) และ
มาตรา 79/4 แห่งประมวลรัษฎากร
-----------------------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนําเกี่ยวกับการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 มาตรา 65 ทวิ (5) มาตรา 65 ทวิ (8) และมาตรา 79/4 แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.71/2541 เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในการปฏิบัติการเพื่อหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย การหักภาษีตามมาตรา 70 และมาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร การออกใบ กํากับภาษี และการลงรายการในรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2541
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนอกจากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นตามที่รัฐมนตรีกําหนดมีเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวคํานวณค่าหรือราคาของเงินตราหรือทรัพย์สินเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คํานวณไว้ และให้คํานวณค่าหรือราคาของหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขาย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คํานวณไว้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ทวิ (5) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นที่รัฐมนตรีกําหนด มีเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวคํานวณค่าหรือราคาของเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คํานวณไว้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ทวิ (5) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร
ทรัพย์สิน หรือหนี้สินซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องคํานวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทยตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง หมายถึง เงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีสิทธิเรียกร้องที่จะได้รับหรือมีภาระผูกพันที่จะต้องชําระเป็นเงินตราต่างประเทศเป็นจํานวนเงินที่กําหนดไว้แน่นอน เช่น เงินฝากธนาคาร (Cash) ลูกหนี้การค้า (Account Receivable) ลูกหนี้และตั๋วเงินรับจากการขายสินค้า (Accounts and Notes Receivable)
หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด (Marketable Securities) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดทันทีที่ต้องการ แต่ไม่รวมถึงตราสารทุนซึ่งเป็นเงินลงทุนระยะยาวที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อหวังเงินปันผลในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ เงินให้กู้ยืมแก่บริษัทในเครือเดียวกัน (Loan to Subsidiaries) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (Prepaid Expense) เจ้าหนี้จากการซื้อสินค้า (Accounts Payable) ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย (Accrued Expense) เป็นต้น
ข้อ ๓ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้รับมาหรือจ่ายไปซึ่งเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวคํานวณค่าหรือราคาของเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามราคาตลาดในวันที่รับมาหรือจ่ายไปนั้น ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ทวิ (5) วรรคสอง แห่งประมวล รัษฎากร
ราคาตลาดตามวรรคหนึ่ง กรณีการบันทึกบัญชี ณ วันที่เกิดรายการทรัพย์สิน หรือหนี้สิน หมายถึง
(1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อหรืออัตราขาย) หรือ
(2) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยหรืออัตราขายถัวเฉลี่ย)
ราคาตลาดตามวรรคหนึ่ง กรณีการได้รับเงินหรือจ่ายเงินเป็นเงินตราต่างประเทศ หมายถึง อัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นจริงในทางปฏิบัติจากการนําเงินสกุลบาทไปแลกเป็นเงินสกุลต่างประเทศ หรือเกิดจากการนําเงินสกุลต่างประเทศไปแลกเป็นเงินสกุลบาท
ตัวอย่าง
(1) บริษัท ก จํากัด ประกอบกิจการขายเม็ดพลาสติก ได้มีการขายเม็ดพลาสติกให้แก่บริษัทในต่างประเทศ โดยตกลงราคาสินค้าเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ก จํากัด ดําเนินการส่งออกสินค้าและบันทึกบัญชีในวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 บริษัท ก จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการบันทึกบัญชีเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้
(1/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 หรือ
(1/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันพุธที่ 2 มีนาคม 2548
(2) บริษัท ข จํากัด ประกอบกิจการขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าให้แก่บริษัทในต่างประเทศ โดยตกลงราคาสินค้าเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ข จํากัดดําเนินการส่งออกสินค้าและบันทึกบัญชีในวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2548 บริษัท ข จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการบันทึกบัญชีเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังนี้
(2/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2548 หรือ
(2/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2548 เนื่องจากวันเสาร์ที่ 12 และวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2548 เป็นวันหยุดราชการ
(3) บริษัท ค จํากัด ประกอบกิจการเป็นนายหน้าตัวแทน ได้ให้บริการแก่บริษัทในต่างประเทศ โดยตกลงราคาค่าบริการเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ค จํากัดดําเนินการออกใบแจ้งหนี้และบันทึกบัญชีในวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2548 บริษัท ค จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการบันทึกบัญชีเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้
(3/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2548 หรือ
(3/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันอังคารที่ 5 เมษายน 2548 เนื่องจากวันพุธที่ 6 เมษายน 2548 เป็นวันหยุดทําการของธนาคาร
(4) บริษัท ง จํากัด ประกอบกิจการโรงแรมและภัตตาคาร ได้กู้ยืมเงินจากธนาคารในต่างประเทศ บริษัท ง จํากัด บันทึกบัญชีเจ้าหนี้เงินกู้ยืมในวันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2548 หรือวันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2548 บริษัท ง จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการบันทึกบัญชีเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้
(4/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราขาย) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2548 กรณีบันทึกบัญชีในวันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2548 หรือในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 กรณีบันทึกบัญชีในวันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2548
(4/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน 2548 กรณีบันทึกบัญชีในวันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2548 และใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันศุกร์ที่ 29 เมษายน2548 กรณีบันทึกบัญชีในวันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2548 เนื่องจากในวันทําการสุดท้ายของเดือนหนึ่งเดือนใด ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกประกาศอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการนั้นอีกหนึ่งฉบับ
ข้อ ๔ การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 3 เตรส มาตรา 50 มาตรา 69 ทวิ และมาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร การหักภาษีตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร การหักภาษีจากการจําหน่ายเงินกําไรตามมาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และการนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมิน การจําหน่ายเงินกําไรหรือการนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จําหน่ายเงินกําไร หรือผู้มีหน้าที่นําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มต้องคํานวณจํานวนภาษีที่ต้องหักและนําส่งโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามวิธีการดังต่อไปนี้ เป็นอัตราแลกเปลี่ยนในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทย ทั้งนี้ ตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
(1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยใน แต่ละวัน (อัตราขาย) หรือ
(2) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวันที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย)
การใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามวิธีการตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามวิธีการหนึ่งวิธีการใดแล้ว ต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรานั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรจึงจะเปลี่ยนแปลงวิธีการได้ ทั้งนี้ ตามข้อ 2 วรรคสอง ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา9 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
ในกรณีที่จ่ายเงินได้พึงประเมินหรือจําหน่ายเงินกําไรตามวรรคหนึ่งด้วยเช็ค ให้คํานวณจํานวนภาษีที่ต้องหักและนําส่งตามวันที่ที่ลงในเช็ค และให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามวรรคหนึ่ง
ตัวอย่าง
(1) บริษัท ก จํากัด จ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้แก่บริษัทในต่างประเทศในวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 บริษัท ก จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ดังนี้
(1/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราขาย) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 หรือ
(1/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันพุธที่ 2 มีนาคม 2548
(2) บริษัท ข จํากัด จ่ายเงินปันผลให้แก่บริษัทในต่างประเทศในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2548 บริษัท ข จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ดังนี้
(2/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราขาย) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2548 หรือ
(2/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันอังคารที่ 12 เมษายน 2548 เนื่องจากวันพุธที่ 13 วันพฤหัสบดีที่ 14 วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2548 เป็นวันหยุดทําการของธนาคาร และ วันเสาร์ที่ 16 วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2548 เป็นวันหยุดราชการ
(3) บริษัท ค จํากัด จ่ายเงินค่าดอกเบี้ยให้แก่บริษัทในต่างประเทศในวันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2548 บริษัท ค จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ดังนี้
(3/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราขาย) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2548 หรือ
(3/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2548 เนื่องจากวันเสาร์ที่ 23 และวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2548 เป็นวันหยุดราชการ
(4) บริษัท ง จํากัด จ่ายเงินค่าบริการเช่าพื้นที่บนเว็บไซต์ (Web Site) ให้แก่บริษัทในต่างประเทศในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 เวลาประมาณ 13.00 น. บริษัท ง จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการยื่นแบบ ภ.พ.36 ดังนี้
(4/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราขาย) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 หรือ
(4/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2548
(5) บริษัท จ จํากัด จ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานซึ่งเป็นชาวต่างประเทศทุกวันที่ 30 ของเดือน โดยการโอนเงินเดือนของพนักงานเข้าบัญชีธนาคารของพนักงาน ซึ่งในวันที่ 30 เมษายน 2548 ตรงกับวันเสาร์ บริษัท จ จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ดังนี้
(5/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราขาย) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 หรือ
(5/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 เนื่องจากในวันทําการสุดท้ายของเดือนหนึ่งเดือนใด ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกประกาศอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการนั้นอีกหนึ่งฉบับ
ข้อ ๕ เว้นแต่กรณีตามข้อ 6 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการและมีหน้าที่ต้องออกใบกํากับภาษีตามมาตรา 86/4 มาตรา 86/5 มาตรา 86/6 และมาตรา 86/7 แห่งประมวลรัษฎากร และผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ตกลงราคาสินค้าหรือค่าบริการเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีข้อตกลงให้ออกใบแจ้งหนี้เป็นเงินบาทหรือชําระราคาสินค้าหรือค่าบริการเป็นเงินบาท ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องแสดงมูลค่าของสินค้าหรือของบริการและจํานวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นหน่วยเงินตราไทยในใบกํากับภาษี โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามวิธีการดังต่อไปนี้ เป็นอัตราแลกเปลี่ยนในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทย ทั้งนี้ ตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
(1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อ) หรือ
(2) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ย)
การใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามวิธีการตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามวิธีการหนึ่งวิธีการใดแล้ว ต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรานั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรจึงจะเปลี่ยนแปลงวิธีการได้ ทั้งนี้ ตามข้อ 2 วรรคสอง ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับชําระราคาสินค้าและค่าบริการด้วยเช็ค ให้คํานวณมูลค่าของสินค้าหรือของบริการและจํานวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นหน่วยเงินตราไทยตามวันที่ที่ลงในเช็ค และให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามวรรคหนึ่ง
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ออกใบกํากับภาษีเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศตามมาตรา 86/4 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องระบุอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากรไว้ในใบกํากับภาษีด้วย
ตัวอย่าง
(1) บริษัท ก จํากัด ประกอบกิจการขายเม็ดพลาสติก ได้มีการขายเม็ดพลาสติกให้แก่บริษัท ข จํากัด โดยตกลงราคาสินค้าเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ก จํากัด ส่งมอบสินค้าในวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 บริษัท ก จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการออกใบกํากับภาษี ดังนี้(1/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 หรือ
(1/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันพุธที่ 2 มีนาคม 254
(2) บริษัท ค จํากัด ประกอบกิจการให้บริการเป็นที่ปรึกษา ได้ให้บริการแก่บริษัท ง จํากัด โดยตกลงราคาค่าบริการเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ค จํากัด ดําเนินการออกใบแจ้งหนี้ในวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2548 แต่บริษัท ง จํากัด ชําระราคาค่าบริการในวันพุธที่ 16 มีนาคม 2548 บริษัท ค จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการออกใบกํากับภาษีดังนี้
(2/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพุธที่ 16 มีนาคม 2548 หรือ
(2/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันพุธที่ 16 มีนาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันอังคารที่ 15 มีนาคม 2548
(3) บริษัท ก จํากัด ประกอบกิจการขายเม็ดพลาสติก ได้มีการขายเม็ดพลาสติกให้แก่บริษัท ข จํากัด โดยตกลงราคาสินค้าเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ก จํากัด ส่งมอบสินค้าในวันเสาร์ที่ 9 เมษายน 2548 บริษัท ก จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการออกใบกํากับภาษี ดังนี้
(3/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2548 หรือ
(3/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2548
(4) บริษัท ก จํากัด ประกอบกิจการขายเม็ดพลาสติก ได้มีการขายเม็ดพลาสติกให้แก่บริษัท ข จํากัด โดยตกลงราคาสินค้าเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ก จํากัด ส่งมอบสินค้าในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2548 บริษัท ก จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการออกใบกํากับภาษี ดังนี้
(4/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2548 หรือ
(4/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันอังคารที่ 12 เมษายน 2548 เนื่องจากวันพุธที่ 13 วันพฤหัสบดีที่ 14 วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2548 เป็นวันหยุดทําการของธนาคาร และวันเสาร์ที่ 16 วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2548 เป็นวันหยุดราชการ
(5) บริษัท ง จํากัด ประกอบกิจการโรงแรมและภัตตาคาร ได้รับชําระราคาค่าบริการในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 เวลาประมาณ 11.00 น. บริษัท ง จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการออกใบกํากับภาษี ดังนี้
(5/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 หรือ
(5/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งอาจจะเป็น SIGH หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2548
(6) บริษัท ง จํากัด ประกอบกิจการโรงแรมและภัตตาคาร ได้รับชําระราคาค่าบริการในวันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2548 บริษัท ง จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการออกใบกํากับภาษี ดังนี้
(6/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 หรือ
(6/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งอาจจะเป็น SIGH หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 29เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 เนื่องจากในวันทําการสุดท้ายของเดือนหนึ่งเดือนใด ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกประกาศอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทําการนั้นอีกหนึ่งฉบับ
(7) บริษัท จ จํากัด ประกอบกิจการขายน้ํามันดิบและผลิตภัณฑ์น้ํามัน ได้ขายน้ํามันให้แก่บริษัท ฉ จํากัด โดยตกลงราคาน้ํามันเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท จ จํากัด ส่งมอบน้ํามันในวันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2548 เป็นจํานวน 2 ครั้ง ครั้งแรกบริษัท จ จํากัด ส่งมอบน้ํามันเวลา 01.00 น. ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ธนาคารพาณิชย์จะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละวัน และเป็นเวลาก่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวันในแต่ละวัน (ธนาคารพาณิชย์จะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละวัน เริ่มต้นในเวลาประมาณ 08.00 น. ของแต่ละวัน ซึ่งอาจมีการประกาศอีกหลายครั้งในแต่ละวัน และธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวันในแต่ละวันในเวลาประมาณ 08.00 น. ของแต่ละวัน) และครั้งที่สองเวลา 08.30 น. ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละวัน และธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวันในแต่ละวันแล้ว บริษัท จ จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการออกใบกํากับภาษี ดังนี้
(7/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันเวลา 01.00 น. และใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันเวลา 08.30 น. หรือ
(7/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งอาจจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันเวลา 01.00 น. และใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งอาจจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันเวลา 08.30 น.
(8) บริษัท ช จํากัด ประกอบกิจการขายน้ํามันดิบและผลิตภัณฑ์น้ํามัน ได้ขายน้ํามันให้แก่บริษัท ซ จํากัด โดยตกลงราคาน้ํามันเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ช จํากัด ส่งมอบน้ํามันในวันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2548 เป็นจํานวน 2 ครั้ง ครั้งแรกบริษัท ช จํากัด ส่งมอบน้ํามันเวลา 01.00 น. ครั้งที่สองเวลา 09.00 น. และส่งมอบน้ํามันในวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2548 เป็นจํานวน 1 ครั้ง เวลา 11.00 น. บริษัท ช จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการออกใบกํากับภาษี ดังนี้
(8/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันทั้ง 3 ครั้งดังกล่าว หรือ
(8/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งอาจจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันทั้ง 3 ครั้งดังกล่าว เนื่องจากในวันทําการสุดท้ายของเดือนหนึ่งเดือนใด ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกประกาศอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ ณ สิ้นวันทําการนั้นอีกหนึ่งฉบับ
(9) บริษัท ฌ จํากัด ประกอบกิจการขายน้ํามันดิบและผลิตภัณฑ์น้ํามันได้ขายน้ํามันให้แก่บริษัท ญ จํากัด โดยตกลงราคาน้ํามันเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ฌ จํากัด ส่งมอบน้ํามันในวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2548 เป็นจํานวน 2 ครั้ง ครั้งแรก บริษัท ฌ จํากัด ส่งมอบน้ํามันเวลา 01.00 น. ครั้งที่สองเวลา 09.00 น. บริษัท ฌ จํากัด มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยน ในการออกใบกํากับภาษี ดังนี้
(9/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพุธที่ 31 สิงหาคม 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันเวลา 01.00 น. และใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันเวลา 09.00 น. หรือ
(9/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจําวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งอาจจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันพุธที่ 31 สิงหาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ ณ สิ้นวันทําการประจําวันพุธที่ 31 สิงหาคม 2548 สําหรับการส่งมอบน้ํามันทั้งสองครั้งดังกล่าว เนื่องจากในวันทําการสุดท้ายของเดือนหนึ่งเดือนใด ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกประกาศอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ ณ สิ้นวันทําการนั้นอีกหนึ่งฉบับ
ข้อ ๖ กรณีการออกใบกํากับภาษีตามมาตรา 86/5 แห่งประมวลรัษฎากร สําหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการดังต่อไปนี้ ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 5
(1) การออกใบกํากับภาษีกรณีการขายสินค้าโดยการส่งออก ซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีสิทธิใช้ใบกํากับสินค้าหรืออินวอยซ์ซึ่งผู้ส่งออกได้ออกเป็นปกติตามประเพณีทางการค้าระหว่างประเทศเป็นใบกํากับภาษี ถ้าใบกํากับสินค้าหรืออินวอยซ์ได้ออกเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ ใบกํากับภาษีในกรณีดังกล่าวจึงแสดงมูลค่าของสินค้าเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศได้
(2) การออกใบกํากับภาษีกรณีการให้บริการที่กระทําในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีสิทธิใช้ใบแจ้งหนี้หรืออินวอยซ์ซึ่งได้ออกเป็นปกติตามประเพณีทางการค้าระหว่างประเทศเป็นใบกํากับภาษี ถ้าใบแจ้งหนี้หรืออินวอยซ์ได้ออกเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ ใบกํากับภาษีในกรณีดังกล่าวจึงแสดงมูลค่าของสินค้าเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศได้
(3) การออกใบกํากับภาษีสําหรับการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน ผู้ประกอบการมีสิทธิใช้แอร์เวย์บิลหรือเฮาส์แอร์เวย์บิลที่ผู้ขนส่งหรือตัวแทนรับขนส่งได้ออกเป็นปกติตามประเพณีทางการค้าระหว่างประเทศเป็นใบกํากับภาษี ถ้าแอร์เวย์บิลหรือเฮาส์แอร์เวย์บิลได้ออกเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ ใบกํากับภาษีดังกล่าวจึงแสดงมูลค่าของบริการเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศได้
ข้อ ๗ กรณีการลงรายการในรายงานภาษีขายตามมาตรา 87(1) แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้ประกอบการจดทะเบียนตามข้อ 5 และข้อ 6 ให้ปฏิบัติดังนี้
(1) การลงรายการในรายงานภาษีขายของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าหรือให้บริการซึ่งได้ออกใบกํากับภาษีตามข้อ 5 จะต้องลงรายการภายในสามวันทําการนับแต่วันที่ระบุไว้ในใบกํากับภาษี สําหรับการคํานวณมูลค่าของสินค้าหรือของบริการในรายงานภาษีขายให้ถือมูลค่าของสินค้าหรือของบริการซึ่งได้คํานวณเป็นหน่วยเงินตราไทยตามใบกํากับภาษี
(2) การลงรายการในรายงานภาษีขายของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าซึ่งได้ออกใบกํากับภาษีตามข้อ 6(1) จะต้องลงรายการภายในสามวันทําการนับแต่วันที่ชําระอากรขาออก หรือวางหลักประกันอากรขาออก หรือจัดให้มีผู้ค้ําประกันอากรขาออก เว้นแต่กรณีที่ไม่ต้องเสียอากรขาออกหรือได้รับยกเว้นอากรขาออก ก็ให้ลงรายการภายในสามวันทําการนับแต่วันที่มีการออกใบขนสินค้าขาออกตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร โดยให้คํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในรายงานภาษีขาย ดังต่อไปนี้
(ก) ถ้าได้รับเงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าในขณะที่ออกใบกํากับภาษีตามข้อ 6(1) และได้มีการขายเงินตราต่างประเทศที่ได้รับชําระนั้นเป็นเงินตราไทยในเดือนที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ให้ถือเงินตราไทยจากการขายนั้นเป็นมูลค่าของฐานภาษีที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้า เว้นแต่มิได้มีการขายเงินตราต่างประเทศในเดือนที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ให้ถือตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คํานวณไว้ในวันทําการสุดท้ายของเดือนที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตามมาตรา 79/4(1) แห่งประมวลรัษฎากร
(ข) ถ้ายังไม่ได้รับเงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าในขณะที่ออกใบกํากับภาษีตามข้อ 6(1) ให้คํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตาม (ก) หรือ (ข) ในเดือนภาษีที่ลงรายงานแล้ว ให้ถือมูลค่าของสินค้าซึ่งได้คํานวณเป็นเงินตราไทยเพื่อการยื่นแบบแสดงรายการภาษีของเดือนภาษีนั้น ถ้าได้รับชําระราคาค่าสินค้าเป็นเงินตราต่างประเทศในเดือนภาษีอื่น หรือได้มีการขายเงินตราต่างประเทศในเดือนภาษีอื่น ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ต้องคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในเดือนภาษีที่ได้รับเงินตราต่างประเทศ หรือในเดือนภาษีที่มีการขายเงินตราต่างประเทศ
(3) การลงรายการในรายงานภาษีขายของผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งการให้บริการได้กระทําในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตามข้อ 6(2) ต้องลงรายการภายในสามวันทําการนับแต่วันที่ออกใบแจ้งหนี้หรืออินวอยซ์ โดยให้คํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในรายงานภาษีขายตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร
(4) การลงรายการในรายงานภาษีขายของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานซึ่งได้ออกใบกํากับภาษีตามข้อ 6(3) ให้ดําเนินการเช่นเดียวกับการลงรายการในรายงานภาษีขายของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ส่งออกสินค้าตาม (2)
ข้อ ๘ กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนนําเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ให้คํานวณราคา ซี.ไอ.เอฟ. ของสินค้านําเข้าที่เป็นเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่กรมศุลกากรใช้คํานวณเพื่อเรียกเก็บอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ ตามมาตรา 79/4(2) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๙ กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนตามข้อ 5 ออกใบกํากับภาษีโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ถือว่าผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกํากับภาษีที่มีข้อความไม่ถูกต้องหรือ ไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสําคัญตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ได้รับใบกํากับภาษีไม่มีสิทธินําไปถือเป็นภาษีซื้อในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (2) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๐ กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ออกใบกํากับภาษีและส่งมอบใบกํากับภาษีให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการไปแล้ว ต่อมาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ต้องยกเลิกใบกํากับภาษีฉบับเดิมและออกใบกํากับภาษีฉบับใหม่ให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เนื่องจากไม่ใช่กรณีการออกใบกํากับภาษีที่มีข้อความไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสําคัญตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดตามมาตรา 82/5 (2) แห่งประมวลรัษฎากร และไม่มีสิทธิออกใบเพิ่มหนี้หรือใบลดหนี้ตามมาตรา 86/9 และมาตรา 86/10 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราดังกล่าวไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาตรา 82/9 และมาตรา 82/10 แห่งประมวลรัษฎากร ผลต่างระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนถือเป็นผลกําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมิใช่มูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อ ๑๑ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หนังสือตอบข้อหารือหรือทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ ให้เป็นอันยกเลิก
ข้อ ๑๒ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,813 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 2/2552 เรื่อง การรายงานการมีส่วนได้เสียของกรรมการ ผู้บริหาร และบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 2/2552
เรื่อง การรายงานการมีส่วนได้เสียของกรรมการ ผู้บริหาร
และบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง
โดยที่มาตรา 89/14 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้กรรมการและผู้บริหารต้องรายงานให้บริษัททราบถึงการมีส่วนได้เสียของตนหรือของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการกิจการของบริษัทหรือบริษัทย่อย ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทมีข้อมูลประกอบการดําเนินการตามข้อกําหนดเกี่ยวกับการทํารายการที่เกี่ยวโยงกันซึ่งเป็นรายการที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และอาจนําไปสู่การถ่ายเทผลประโยชน์ของบริษัทและบริษัทย่อยได้ นอกจากนี้ การที่กรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและซื่อสัตย์สุจริต (fiduciary duties) ซึ่งต้องตัดสินใจโดยไม่มีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในเรื่องที่ตัดสินใจ ข้อมูลในรายงานดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์ต่อการติดตามดูแลให้การทําหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหารเป็นไปตามหลักการดังกล่าวด้วย คณะกรรมการกํากับตลาดทุนจึงได้ออกประกาศฉบับนี้ เพื่อให้คณะกรรมการบริษัทสามารถกําหนดรายละเอียดของการรายงานให้เหมาะสมกับลักษณะของธุรกิจของแต่ละบริษัทได้
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 89/14 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ผู้บริหาร” หมายความว่า ผู้บริหารตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยการกําหนดบทนิยามผู้บริหารเพื่อการปฏิบัติตามหมวด 3/1 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551
ข้อ ๒ เพื่อประโยชน์ในการติดตามดูแลการมีส่วนได้เสียของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท หรือของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการกิจการของบริษัทหรือบริษัทย่อย ให้กรรมการและผู้บริหารของบริษัทรายงานการมีส่วนได้เสียดังกล่าวตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการบริษัทกําหนด
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,814 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 3/2552 เรื่อง ข้อกำหนดพิเศษเกี่ยวกับการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติการเงินในต่างประเทศ
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 3/2552
เรื่อง ข้อกําหนดพิเศษเกี่ยวกับการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติการเงินในต่างประเทศ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 247 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายคณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “กิจการ” หมายความว่า บริษัทที่มีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
(2) “ประกาศว่าด้วยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ” หมายความว่า
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 53/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ที่ ทจ. 24/2551 เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติตามประกาศเกี่ยวกับการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ ลงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551
(3) “หลักทรัพย์แปลงสภาพ” หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ หุ้นกู้แปลงสภาพ หรือหลักทรัพย์อื่นที่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ ที่กิจการเป็นผู้ออก เพื่อให้สิทธิซื้อหรือแปลงสภาพเป็นหุ้นของกิจการนั้นเอง
ข้อ ๒ บุคคลใดกระทําการดังต่อไปนี้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552 และก่อนที่กิจการจดทะเบียนลดทุนที่ชําระแล้วโดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืน ให้บุคคลนั้นได้รับประโยชน์ในการปฏิบัติตามข้อกําหนดของประกาศนี้
(1) ได้หุ้นของกิจการภายหลังการซื้อหุ้นคืนของกิจการ หรือ
(2) ยื่นคําขอผ่อนผันการทําคําเสนอซื้อหุ้นบางส่วนของกิจการโดยได้รับยกเว้นไม่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการในภายหลัง
ในกรณีที่ประกาศนี้มีข้อกําหนดเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืนของกิจการ ให้รวมถึงการซื้อหุ้นคืนก่อนประกาศนี้มีผลใช้บังคับด้วย
ในกรณีที่ข้อกําหนดในเรื่องใดมิได้กําหนดไว้เป็นการเฉพาะในประกาศนี้ ให้บุคคลตามวรรคหนึ่งปฏิบัติตามประกาศว่าด้วยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการอยู่เช่นเดิม
ข้อ ๓ ในกรณีที่กิจการมีการซื้อหุ้นคืนและเป็นผลให้บุคคลใดมีสิทธิออกเสียงทั้งหมดในกิจการเพิ่มขึ้นจนถึงหรือข้ามจุดที่มีหน้าที่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการตามประกาศว่าด้วยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ หากต่อมาในระหว่างระยะเวลาตามข้อ 2 บุคคลดังกล่าวได้หุ้นของกิจการเพิ่มขึ้นอีกในจํานวนที่เมื่อคํานวณจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบุคคลนั้นก่อนกิจการมีการซื้อหุ้นคืนแล้วไม่เป็นผลให้ถึงจุดที่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ ให้บุคคลนั้นไม่มีหน้าที่ทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ
ข้อ ๔ ในกรณีที่กิจการมีการซื้อหุ้นคืนและเป็นผลให้บุคคลใดมีสิทธิออกเสียงทั้งหมดในกิจการเพิ่มขึ้นจนถึงหรือข้ามจุดที่มีหน้าที่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการตามประกาศว่าด้วยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ หากต่อมาในระหว่างระยะเวลาตามข้อ 2บุคคลดังกล่าวได้หุ้นของกิจการเพิ่มขึ้นอีกในจํานวนที่เมื่อคํานวณจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบุคคลนั้นก่อนกิจการซื้อหุ้นคืนแล้วเป็นผลให้ถึงหรือข้ามจุดที่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ บุคคลนั้นต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ
ข้อ ๕ ในกรณีที่กิจการมีการซื้อหุ้นคืนและเป็นผลให้บุคคลใดมีสิทธิออกเสียงทั้งหมดในกิจการเพิ่มขึ้นจนถึงหรือข้ามร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ตามประกาศว่าด้วยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ หากบุคคลดังกล่าวประสงค์จะได้หุ้นของกิจการเพิ่มขึ้นอีกในระหว่างระยะเวลาตามข้อ 2 ในจํานวนที่เมื่อคํานวณสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบุคคลนั้นก่อนมีการซื้อหุ้นคืนแล้วเป็นผลให้จะถึงหรือข้ามจุดร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ บุคคลดังกล่าวอาจยื่นคําขอผ่อนผันต่อสํานักงานในการทําคําเสนอซื้อหุ้นบางส่วนของกิจการโดยได้รับยกเว้นไม่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการในภายหลัง
ข้อ ๖ การขอผ่อนผันการทําคําเสนอซื้อหุ้นบางส่วนของกิจการโดยได้รับยกเว้นไม่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการในภายหลัง จะได้รับอนุมัติจากสํานักงานต่อเมื่อผู้ยื่นคําขอสามารถแสดงและรับรองต่อสํานักงานว่า
(1) เมื่อรวมจํานวนหุ้นดังต่อไปนี้ทั้งหมดแล้วจะไม่เป็นผลให้ผู้ขอผ่อนผันเป็นผู้ถือหุ้นหรือสามารถเป็นผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงตั้งแต่ร้อยละห้าสิบขึ้นไปของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
(ก) หุ้นทุกประเภทที่ผู้ขอผ่อนผันและบุคคลตามมาตรา 258 ของผู้ขอผ่อนผันถืออยู่เดิมก่อนการขอผ่อนผัน
(ข) หุ้นที่จะได้จากการใช้สิทธิซื้อหรือแปลงสภาพตามหลักทรัพย์แปลงสภาพที่ผู้ขอผ่อนผันและบุคคลตามมาตรา 258 ของผู้ขอผ่อนผันถืออยู่เดิมก่อนการขอผ่อนผัน
(ค) หุ้นที่ผู้ขอผ่อนผันประสงค์จะได้มาโดยการทําคําเสนอซื้อบางส่วน
(2) ได้รับความยินยอมจากผู้ถือหุ้นของกิจการให้ผู้ขอผ่อนผันทําคําเสนอซื้อหุ้นบางส่วนของกิจการได้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกิจการมีมติยินยอมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
(ข) ผู้ถือหุ้นของกิจการมีหนังสือให้ความยินยอมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ส่งหนังสือตอบกลับการขอความยินยอมดังกล่าว โดยผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ส่งหนังสือตอบกลับจะต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคน หรือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนผู้ถือหุ้นทั้งหมดและต้องมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ในการนับคะแนนเสียงที่ให้ความยินยอม มิให้นับรวมคะแนนเสียงของบุคคลตามมาตรา 258 ของผู้ขอผ่อนผัน และเพื่อประโยชน์ในการนี้ มิให้นับคะแนนเสียงของบุคคลดังกล่าวรวมอยู่ในจํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมหรือผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ส่งหนังสือตอบกลับ แล้วแต่กรณี
(3) มีหนังสือรับรองโดยผู้สอบบัญชีหรือที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่สํานักงานให้ความเห็นชอบ ซึ่งรับรองว่าได้ตรวจสอบหนังสือให้ความยินยอมว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดใน (2)
(4) หนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นหรือหนังสือขอความยินยอมจากผู้ถือหุ้นต้องมีข้อมูลและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในข้อ 7
ข้อ ๗ หนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นหรือหนังสือขอความยินยอมจากผู้ถือหุ้นตามข้อ 6 ต้องระบุข้อมูลดังต่อไปนี้ไว้อย่างชัดแจ้ง และจะต้องจัดส่งให้แก่ผู้ถือหุ้นล่วงหน้าอย่างน้อยสิบสี่วันก่อนวันประชุมผู้ถือหุ้นหรือวันครบกําหนดการให้ความยินยอมเป็นหนังสือ
(1) รายละเอียดเกี่ยวกับผู้ที่ประสงค์จะได้หุ้นมา รวมทั้งจํานวนหุ้นและสิทธิออกเสียงของบุคคลดังกล่าวและบุคคลตามมาตรา 258 ของบุคคลดังกล่าว ทั้งก่อนและหลังการทําคําเสนอซื้อบางส่วน
(2) รายละเอียดและจํานวนของหุ้นที่ประสงค์จะซื้อ ทั้งนี้ จํานวนหุ้นที่จะระบุดังกล่าวไม่มีข้อจํากัดเกี่ยวกับจํานวนขั้นต่ําที่ประสงค์จะซื้อ
(3) วัตถุประสงค์ของการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในกิจการ และผลกระทบต่อกิจการและผู้ถือหุ้นจากการดําเนินการดังกล่าว
(4) วันครบกําหนดให้ความยินยอมเป็นหนังสือ โดยต้องระบุวันให้ชัดเจนว่าวันใดเป็นวันที่ปิดรับการแสดงเจตนาตามหนังสือขอความยินยอม
ข้อ ๘ ผู้ที่ได้รับการผ่อนผันให้ทําคําเสนอซื้อหุ้นบางส่วนตามข้อ 6 จะต้องซื้อหุ้นตามจํานวนที่ระบุในหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นหรือหนังสือขอความยินยอมจากผู้ถือหุ้นตามข้อ 7
ในกรณีที่ผู้ได้รับการผ่อนผันมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ใน
วรรคหนึ่ง ให้การผ่อนผันเป็นอันสิ้นสุดไป
ข้อ ๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในต่างประเทศซึ่งส่งผลต่อภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศ โดยการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ข้อกําหนดพิเศษที่เกี่ยวกับการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ที่ ทจ. 27/2551 เรื่อง ข้อกําหนดพิเศษเกี่ยวกับการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติการเงินในต่างประเทศ ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และได้เพิ่มเติมให้ข้อกําหนดพิเศษดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กิจการต้องไม่มีการลดทุนที่ชําระแล้วโดยวิธีการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืนในช่วงที่ขยายระยะเวลานั้นด้วย จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,815 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดแบบคำขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นแบบคำขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง กําหนดแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับ การตรวจสอบและรับรองบัญชี ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร
-------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 และข้อ 5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี เรื่อง กําหนดระเบียบเกี่ยวกับการ ตรวจสอบและรับรองบัญชีตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี (ฉบับที่ 2) เรื่อง กําหนดระเบียบเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชีตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และข้อ 8 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.98/2544 เรื่อง กําหนดคุณสมบัติ การทดสอบ การขอขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การอบรม การต่ออายุ และการขอออกใบแทนใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.146/2548 เรื่อง กําหนดคุณสมบัติ การทดสอบ การขอขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การอบรม การต่ออายุ และการขอออกใบแทนใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2548 และข้อ 2 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.122/2545 เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติงาน และการรายงานการตรวจสอบและรับรองบัญชีของผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.147/2548 เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติงาน และการรายงานการตรวจสอบและรับรองบัญชีของผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2548 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชีดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้กําหนดแบบดังต่อไปนี้ เป็นแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร
(1) แบบคําขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (บภ.02) สําหรับการยื่นคําขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร
(2) แบบคําขอทั่วไป (บภ.03) สําหรับ
(ก) การยื่นขอผ่อนผันการเข้ารับการอบรม
(ข) การขอแก้ไขทะเบียน
(ค) การขอใบแทนใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร
(ง) กรณีอื่น ๆ ที่มิได้มีการกําหนดแบบคําขอไว้โดยเฉพาะ
(3) แบบคําขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (บภ.04) สําหรับการยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร
(4) แบบคําขอให้พิจารณาวุฒิการศึกษา (บภ.05) สําหรับการยื่นคําขอให้พิจารณาวุฒิการศึกษากรณีวุฒิการศึกษาต่างประเทศ ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนยังไม่ได้ให้การรับรองวุฒิการศึกษา
(5) แบบคําขอแจ้งการเข้ารับการอบรม (บภ.06) สําหรับการแจ้งการเข้ารับการอบรมของผู้สอบบัญชีภาษีอากร
(6) แบบแจ้งจํานวนและรายชื่อห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีจะลงลายมือชื่อรับรอง (บภ.07) สําหรับการแจ้งจํานวนและรายชื่อห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีจะลงลายมือชื่อรับรองการตรวจสอบและรับรองบัญชี
(7) แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงจํานวนและรายชื่อห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีจะลงลายมือชื่อรับรอง (บภ.08) สําหรับการแจ้งการเปลี่ยนแปลงจํานวนและรายชื่อห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีจะลงลายมือชื่อรับรองการตรวจสอบและรับรองบัญชีการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชีตามวรรคหนึ่งให้ยื่นตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
ข้อ ๒ กรณีผู้ยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งตามข้อ 1 ประสงค์จะยื่นผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผู้ยื่นจะต้องยื่นผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web site) ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th ตามกําหนดระยะเวลาของการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งที่อธิบดีกําหนด ซึ่งผู้ยื่นสามารถยื่นแบบได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๓ การยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่จะต้องชําระค่าธรรมเนียม ผู้ยื่นจะต้องนําใบชําระค่าธรรมเนียมที่พิมพ์จากระบบการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งไปยื่นชําระเงินที่ ธนาคารกรุงไทยจํากัด (มหาชน)ทุกสาขาทั่วประเทศ ทางระบบ Teller Payment ภายใน 3 วันทําการนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งและสามารถพิมพ์ใบเสร็จรับเงินจากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ภายหลังจากที่ได้ชําระค่าธรรมเนียม 3 วันทําการ
ข้อ ๔ การยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่จะต้องยื่นเอกสารหลักฐาน ผู้ยื่นจะต้องนําส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวทางไปรษณีย์ตอบรับไปยัง สํานักมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร กรมสรรพากร เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 ภายใน 3 วันทําการนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้ง โดยกรมสรรพากรจะถือวันที่ที่ทําการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับจดหมายเป็นสําคัญ เว้นแต่เอกสารหลักฐานการเข้ารับการอบรมที่ต้องยื่นพร้อมการแจ้งการเข้ารับการอบรม และหนังสือตอบรับงานที่ต้องยื่นพร้อมการแจ้งรายชื่อกิจการที่ตรวจสอบและรับรองบัญชี ให้เก็บไว้เป็นหลักฐาน ณ สํานักงานของผู้สอบบัญชีภาษีอากรเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้เข้ารับการอบรมหรือนับแต่วันที่ลงลายมือชื่อรับรองการตรวจสอบและรับรองบัญชี
ข้อ ๕ เงื่อนไขในการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากร
(1) การยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้ง ผู้ยื่นจะต้องรับผิดชอบในการตรวจสอบและรับรองข้อความที่บันทึกลงในแบบคําขอ/แบบแจ้งดังกล่าว หากภายหลังกรมสรรพากรตรวจพบว่าข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง ผู้ยื่นจะต้องรับผิดชอบต่อข้อความที่ได้บันทึกไว้ และกรมสรรพากรจะไม่คืนค่าธรรมเนียมให้ในกรณีที่ผู้ยื่นได้ชําระค่าธรรมเนียมแล้ว
(2) การยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งที่ผู้ยื่นจะต้องชําระค่าธรรมเนียม หรือนําส่งเอกสารหลักฐาน หากผู้ยื่นมิได้ชําระค่าธรรมเนียมหรือนําส่งเอกสารหลักฐานตามระยะเวลาที่กําหนดจะถือว่าการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งดังกล่าวเป็นโมฆะ
ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,816 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดแบบคำขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นแบบคำขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง กําหนดแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2)
-----------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 ประกอบกับข้อ5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี เรื่อง กําหนดระเบียบเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชีตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ข้อ 8 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.98/2548 เรื่อง กําหนดคุณสมบัติ การทดสอบ การขอขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การอบรม การต่ออายุ และการขอออกใบแทนใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.146/2548 เรื่อง กําหนดคุณสมบัติ การทดสอบ การขอขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การอบรม การต่ออายุ และการขอออกใบแทนใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2548 และข้อ 2 ของคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 122/2545 เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์การปฎิบัติงาน และการรายงานการตรวจสอบและรับรองบัญชีของผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.147/2548 เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์การปฎิบัติงาน และการรายงานการตรวจสอบและรับรองบัญชีของผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2548 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชีดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกแบบคําขอแจ้งการเข้ารับการอบรม (บภ.06) ที่แนบท้ายประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี และหลักเกณฑ์วิธีการ และเงินไขในการยื่นแบบคําขอ/แบบแจ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2548 และให้ใช้แบบคําขอแจ้งการเข้ารับการอบรม (บภ.06) ท้ายประกาศนี้แทน
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับการอบรมที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559
(นายประสงค์ พูนธเนศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,817 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 2/2549 เรื่อง การเสนอขายหุ้นกู้ต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 2/2549
เรื่อง การเสนอขายหุ้นกู้ต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
-----------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 มาตรา 34(1) มาตรา 35 มาตรา 40(11) มาตรา 41(3) และ (4) มาตรา 56 มาตรา 64(2) และ (3) มาตรา 67 มาตรา 69(11) และมาตรา 70(9) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งมีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 45 มาตรา 48 และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
(1) คําว่า “แบบแสดงรายการข้อมูล” และ “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการยื่นและการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์
(2) “บริษัทต่างประเทศ” หมายความว่า บริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
(3) “ธนาคารพาณิชย์” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(4) “ข้อกําหนดสิทธิ” หมายความว่า ข้อกําหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออก หุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้
(5) “ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร” หมายความว่า ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร ตามมาตรการป้องปรามการเก็งกําไรค่าเงินบาทที่กําหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
(6) “สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับการเสนอขายหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นและสมควร โดยคํานึงถึงการกํากับดูแลการทําธุรกรรมและการลงทุนของธนาคารพาณิชย์ในหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทต่างประเทศตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกําหนด ให้สํานักงานมีอํานาจประกาศกําหนดคุณลักษณะของผู้ออกหุ้นกู้ ลักษณะของหุ้นกู้ที่เสนอขาย หรือข้อกําหนดอื่นที่จําเป็น เพิ่มเติมจากข้อกําหนดในประกาศนี้ได้
ข้อ ๔ ให้บริษัทต่างประเทศที่ประสงค์จะเสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ตามประกาศนี้ ยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงานตามแบบพร้อมเอกสารหลักฐานตามที่สํานักงานประกาศกําหนด และชําระค่าธรรมเนียมการยื่นคําขออนุญาตในอัตราคําขอละ 10,000 บาท
ในกรณีเป็นการขออนุญาตเสนอขายหุ้นกู้มีประกัน ให้บริษัทต่างประเทศยื่นคําขอความเห็นชอบบุคคลที่จะเป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ต่อสํานักงานมาพร้อมกับคําขออนุญาตด้วย ทั้งนี้ ตามที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๕ ในกรณีที่เป็นการเสนอขายหุ้นกู้ที่อาจมีการชําระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนโดยส่งมอบเป็นหุ้น ให้นําหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตรวจสอบหุ้นอ้างอิง และการไม่เป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์ที่ออกใหม่มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
ในการขออนุญาตเสนอขายหุ้นกู้ที่อาจมีการชําระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนโดยส่งมอบเป็นหุ้น ให้ผู้ขออนุญาตชําระค่าธรรมเนียมการขอตรวจสอบหุ้นที่จะนํามาใช้เป็นปัจจัยอ้างอิงในแต่ละครั้งในวันที่ยื่นคําขอตรวจสอบการใช้หุ้นอ้างอิงในอัตราคําขอละ 10,000 บาท
ข้อ ๖ ในการพิจารณาคําขออนุญาต ให้สํานักงานมีอํานาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ยื่นคําขอมาชี้แจง ส่งเอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเติมได้ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ในกรณีที่ผู้ยื่นคําขออนุญาตไม่มาชี้แจง หรือไม่ส่งเอกสารหลักฐานภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ให้ถือว่าผู้ยื่นคําขอไม่ประสงค์จะขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่นั้นอีกต่อไป
ข้อ ๗ ในการพิจารณาว่าคําขออนุญาตใดมีลักษณะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่กําหนดไว้ในประกาศนี้หรือไม่ ให้สํานักงานมีอํานาจดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตหรือการเสนอขายหุ้นกู้มีลักษณะหรือรูปแบบเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะได้รับอนุญาตตามประกาศนี้ แต่มีข้อเท็จจริงซึ่งทําให้พิจารณาได้ว่า ความมุ่งหมายหรือเนื้อหาสาระที่แท้จริง (substance) ของการเสนอขายหุ้นกู้นั้นเข้าลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือประกาศนี้ สํานักงานอาจไม่อนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ตามคําขออนุญาตได้ ทั้งนี้ สํานักงานต้องแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบถึงเหตุผลประกอบการพิจารณาอย่างชัดเจน
(2) ในกรณีที่เข้าลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ สํานักงานอาจผ่อนผันไม่นําหลักเกณฑ์ตามประกาศนี้มาใช้พิจารณาคําขออนุญาต หรือไม่นําเงื่อนไขตามประกาศนี้มาใช้บังคับกับการเสนอขายหุ้นกู้ที่ได้รับอนุญาตได้ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมและความเพียงพอของข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนและมาตรการคุ้มครองผู้ลงทุนเป็นสําคัญ ทั้งนี้ สํานักงานอาจกําหนดเงื่อนไขให้ผู้ขออนุญาตต้องปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยก็ได้
(ก) ประโยชน์ที่จะได้จากการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผันให้ ไม่คุ้มค่ากับต้นทุนของผู้ขออนุญาตในการปฏิบัติ และมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนซึ่งทําให้พิจารณาได้ว่าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังกล่าว ไม่มีนัยสําคัญสําหรับการพิจารณาอนุญาตในกรณีนั้น
(ข) ผู้ขออนุญาตมีข้อจํากัดตามกฎหมายอื่นที่ทําให้ไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผัน
(ค) ผู้ขออนุญาตมีมาตรการอื่นที่เพียงพอ และสามารถทดแทนการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผัน
ข้อ ๘ ให้สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขอภายในเจ็ดวันทําการนับแต่วันที่สํานักงานได้รับคําขอพร้อมเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน
หมวด ๑ การขออนุญาตและการอนุญาต
ข้อ ๙ บริษัทต่างประเทศที่จะได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ตามประกาศนี้ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) ไม่อยู่ระหว่างค้างการนําส่งงบการเงินหรือรายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทต่อสํานักงานตามมาตรา 56 หรือไม่อยู่ระหว่างการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทํางบการเงินหรือรายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสําคัญ หรือไม่อยู่ระหว่างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรายงานต่อสํานักงานตามมาตรา 57 หรือไม่อยู่ระหว่างการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคําสั่งของสํานักงานตามมาตรา 58 ทั้งนี้ เว้นแต่ได้รับการผ่อนผันจากสํานักงาน
(2) ได้จดข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ที่จะเสนอขาย ซึ่งแสดงว่าบริษัทที่ออกหุ้นกู้จะไม่รับจดทะเบียนการโอนหุ้นกู้ไม่ว่าในทอดใด ๆ หากการโอนหุ้นกู้ดังกล่าวจะทําให้ผู้ถือหุ้นกู้เป็นบุคคลอื่นนอกจากธนาคารพาณิชย์หรือผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร
(3) ไม่เคยเสนอขายหุ้นกู้โดยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขตามประกาศนี้ อย่างมีนัยสําคัญ
ข้อ ๑๐ ในการเสนอขายหุ้นกู้ที่ได้รับอนุญาตตามประกาศนี้ บริษัทต่างประเทศต้องจัดให้หุ้นกู้ที่เสนอขายมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) มีคําเรียกชื่อเป็นการเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงหุ้นกู้ที่เสนอขาย ทั้งนี้ คําเรียกชื่อหุ้นกู้ดังกล่าวต้องแสดงถึงปีที่ครบกําหนดไถ่ถอน และลักษณะพิเศษของหุ้นกู้ (ถ้ามี) ไว้โดยชัดเจน
(2) ออกตามข้อกําหนดสิทธิที่มีรายการอย่างน้อยเป็นไปตามมาตรา 42(1) ถึง (9)
(3) จัดให้มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เว้นแต่เป็นการเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีประกัน
(4) มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เป็นไปตามข้อ 11
(5) มีข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ให้อยู่ในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์หรือผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร
ข้อ ๑๑ หุ้นกู้ที่เสนอขายต้องมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน เว้นแต่จะได้รับการผ่อนผันจากสํานักงาน
(1) อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่เสนอขาย
(2) อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทต่างประเทศที่ออกหุ้นกู้
(2) อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ค้ําประกันหุ้นกู้ เฉพาะในกรณีที่เป็นการค้ําประกันที่มีผลบังคับให้ผู้ค้ําประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้ โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ก่อนครบกําหนดอายุของหุ้นกู้
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้จะต้องมีอยู่จนกว่าสิทธิเรียกร้องตามหุ้นกู้จะระงับลง เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นและสมควร สํานักงานอาจผ่อนผันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ โดยกําหนดเงื่อนเวลาหรือเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้ ทั้งนี้ โดยคํานึงถึงความจําเป็นของผู้ลงทุนในการมีข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น
ข้อกําหนดให้หุ้นกู้ที่เสนอขายต้องมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตามข้อนี้ ไม่ให้ใช้บังคับกับกรณีดังต่อไปนี้
(1) การเสนอขายต่อธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีมูลค่ารวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาท ทั้งนี้ ในการคํานวณมูลค่าที่เสนอขายให้ใช้ราคาที่ตราไว้เป็นเกณฑ์
(2) การเสนอขายต่อธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะเจาะจงซึ่งมีจํานวนไม่เกินสิบราย
ข้อ ๑๒ หุ้นกู้ที่เสนอขายตามประกาศนี้ต้องเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ในกรณีที่มีบุคคลใดแสดงความประสงค์ต่อบริษัทต่างประเทศที่จะลงทะเบียนการโอนหุ้นกู้ ให้บริษัทต่างประเทศตรวจสอบความถูกต้องของการโอนหุ้นกู้ หากพบว่าเป็นการโอนที่ขัดต่อข้อจํากัดการโอนที่ได้จดทะเบียนไว้กับสํานักงาน บริษัทต่างประเทศต้องไม่ลงทะเบียนการโอนหุ้นกู้
ในกรณีที่บริษัทต่างประเทศจัดให้มีนายทะเบียนหุ้นกู้ ต้องดําเนินการให้นายทะเบียนหุ้นกู้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในวรรคสองด้วย
ข้อ ๑๓ ให้บริษัทต่างประเทศเสนอขายหุ้นกู้ให้แล้วเสร็จภายในหกเดือนนับแต่วันที่สํานักงานแจ้งผลการอนุญาต
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่มีการออกใบหุ้นกู้ ให้บริษัทต่างประเทศส่งมอบใบหุ้นกู้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้โดยปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 88
ข้อ ๑๕ ในกรณีที่สํานักงานพบว่าภายหลังการอนุญาตมีการเปลี่ยนแปลงที่ทําให้บริษัทต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตตามประกาศนี้มีลักษณะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะได้รับอนุญาต และบริษัทไม่สามารถแก้ไขลักษณะให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ได้ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ให้สํานักงานมีหนังสือแจ้งให้บริษัทระงับการเสนอขายหุ้นกู้ที่ได้รับอนุญาตต่อไป และให้ถือว่าการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ในส่วนที่ยังมิได้เสนอขายหรือยังไม่มีผู้จองซื้อเป็นอันสิ้นสุดลง
การแจ้งระงับการเสนอขายหุ้นกู้ตามวรรคหนึ่งไม่กระทบต่อการบังคับตามกฎหมายระหว่างคู่สัญญาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับหุ้นกู้ที่ได้ออกไปก่อนหรือหลังวันที่การระงับการเสนอขายหุ้นกู้มีผลบังคับ
หมวด ๒ การเปิดเผยข้อมูลก่อนและภายหลังการเสนอขายหุ้นกู้
ข้อ ๑๖ ก่อนการเสนอขายหุ้นกู้ในแต่ละครั้งในประเทศไทย ให้ผู้เสนอขายหุ้นกู้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสํานักงานจํานวนห้าชุด เว้นแต่จะเป็นการเสนอขายหุ้นกู้ที่เข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) การเสนอขายต่อธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีมูลค่ารวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาท ทั้งนี้ ในการคํานวณมูลค่าที่เสนอขายให้ใช้ราคาที่ตราไว้เป็นเกณฑ์
(2) การเสนอขายต่อธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะเจาะจงซึ่งมีจํานวนไม่เกินสิบราย
ข้อ ๑๗ แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นต่อสํานักงานอาจเลือกจัดทําเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ โดยให้มีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) มีรายการอย่างน้อยตามมาตรา 69(1) ถึง (10) และมาตรา 70(1) ถึง (8)
(2) มีข้อมูลที่แสดงถึงฐานะการเงินของผู้ออกหุ้นกู้ โดยอย่างน้อยต้องแนบงบการเงินซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่กําหนดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี หรือ International Financial Reporting Standards (IFRS) หรือ Financial Accounting Standards (FAS) หรือ United States Generally Accepted Accounting Principles (US GAAP) หรือมาตรฐานการบัญชีอื่นที่สํานักงานยอมรับ
(3) มีข้อมูลถูกต้องและเพียงพอที่จะทําให้ผู้ลงทุนทราบลักษณะและเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่เสนอขาย แหล่งที่มาของเงินที่จะนํามาชําระคืนหนี้ตามหุ้นกู้ โอกาสและความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นกู้ในการได้รับชําระคืนหนี้ และผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ ผู้ออกหุ้นกู้ หรือผู้ค้ําประกันการชําระหนี้เฉพาะในกรณีที่เป็นการค้ําประกันที่มีผลบังคับให้ผู้ค้ําประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ก่อนครบกําหนดอายุของหุ้นกู้
(4) มีข้อมูลเกี่ยวกับชื่อและสถานที่ทําการของผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้ออกหุ้นกู้ให้เป็นตัวแทนของผู้ออกหุ้นกู้ในประเทศไทยในการรับหนังสือ คําสั่ง หมายเรียก หรือเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นกู้ในประเทศไทย
(5) มีลายมือชื่อของผู้มีอํานาจลงนามผูกพันผู้ออกหุ้นกู้ เพื่อรับรองความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน
ข้อ ๑๘ นอกจากการยื่นข้อมูลในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์แล้ว ให้ผู้เสนอขายหุ้นกู้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน พร้อมทั้งคําแปลภาษาไทย (ถ้ามี) ต่อสํานักงานในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบการรับส่งข้อมูลตามแนวทางที่สํานักงานกําหนดด้วย ทั้งนี้ ข้อมูลที่ยื่นต่อสํานักงานทั้งในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์และรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีข้อความถูกต้องตรงกัน
ข้อ ๑๙ ภายใต้บังคับมาตรา 68 และมาตรา 75 เมื่อผู้เสนอขายหุ้นกู้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสํานักงาน และได้ชําระค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานประกาศกําหนดแล้ว ให้แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นตามข้อ 16 มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นสามวันทําการนับแต่วันที่สํานักงานได้รับแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน
ข้อ ๒๐ ให้ผู้เสนอขายหุ้นกู้รายงานผลการขายหุ้นกู้ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
โดยอาจเลือกจัดทําเป็นภาษาอังกฤษก็ได้
(1) กรณีเป็นการเสนอขายหุ้นกู้ที่ได้รับยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนตามข้อ 16(1) หรือ (2) ให้ผู้เสนอขายหุ้นกู้รายงานผลการขายหุ้นกู้ต่อสํานักงานภายในสิบห้าวันนับแต่วันปิดการเสนอขาย โดยให้แสดงรายละเอียดดังต่อไปนี้
(ก) วันที่เสนอขายหุ้นกู้
(ข) ประเภท ลักษณะ และชื่อเฉพาะของหุ้นกู้ (ถ้ามี)
(ค) จํานวนหุ้นกู้ที่เสนอขายทั้งหมด และจํานวนหุ้นกู้ที่ขายได้ทั้งหมด
(ง) ราคาของหุ้นกู้ที่เสนอขาย
(จ) ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อหุ้นกู้ และจํานวนที่ผู้ซื้อหุ้นกู้แต่ละรายได้รับจัดสรรชื่อ สถานที่ติดต่อ และหมายเลขโทรศัพท์ ของผู้รายงานผลการขาย
(2) ในกรณีอื่นนอกจาก (1) ให้ผู้เสนอขายหุ้นกู้ปฏิบัติตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการรายงานผลการขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน โดยอนุโลม
ข้อ ๒๑ นับแต่วันที่แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนของผู้เสนอขายหุ้นกู้ ที่ได้ยื่นต่อสํานักงานตามหมวดนี้มีผลใช้บังคับ ให้บริษัทที่ออกหุ้นกู้มีหน้าที่จัดทําและส่งรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทต่อสํานักงานตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ออกตามความในมาตรา 56
ข้อ ๒๒ ให้การเสนอขายหุ้นกู้ในทอดต่อ ๆ ไป ซึ่งไม่ขัดกับข้อจํากัดการโอนที่ได้ยื่นไว้ต่อสํานักงาน ได้รับยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสํานักงาน
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2549
(นายทนง พิทยะ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ -
โดยที่ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์สามารถทําธุรกรรมหรือลงทุนในหลักทรัพย์บางประเภทซึ่งออกโดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศได้ ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในขณะที่ประกาศว่าด้วยการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ในปัจจุบันยังมีข้อจํากัดบางประการที่มีผลให้บริษัทต่างประเทศอาจไม่สามารถออกและเสนอขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยได้ เพื่อให้หลักเกณฑ์ในด้านการทําธุรกรรมหรือลงทุนของธนาคารพาณิชย์ในหลักทรัพย์ที่ออกโดยบริษัทต่างประเทศทั้งในด้านการกํากับสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และหลักเกณฑ์ในด้านการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ของบริษัทต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงเป็นการสมควรให้มีการออกข้อกําหนดไว้ตามประกาศฉบับนี้
| 2,818 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 33/2549 เรื่อง การเสนอขายหุ้นกู้ต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 33/2549
เรื่อง การเสนอขายหุ้นกู้ต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
(ฉบับที่ 2)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความใน (1) ของข้อ 2 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 2/2549 เรื่อง การเสนอขายหุ้นกู้ต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ลงวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2549 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) คําว่า “แบบแสดงรายการข้อมูล” และ “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการยื่นและการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้”
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
(หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,819 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 15/2552 เรื่อง การเสนอขายหุ้นกู้ต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 15/2552
เรื่อง การเสนอขายหุ้นกู้ต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 35 มาตรา 40(11) มาตรา 41(3) และ (4) มาตรา 56 มาตรา 67 มาตรา 69(11) และมาตรา 70(9) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
(1) คําว่า “แบบแสดงรายการข้อมูล” และ “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามในประกาศเกี่ยวกับการออกและเสนอขายตราสารหนี้ทุกประเภท
(2) “บริษัทต่างประเทศ” หมายความว่า บริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
(3) “ธนาคารพาณิชย์” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(4) “ข้อกําหนดสิทธิ” หมายความว่า ข้อกําหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้
(5) “ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร” หมายความว่า ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร ตามมาตรการป้องปรามการเก็งกําไรค่าเงินบาทที่กําหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับการเสนอขายหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นและสมควร โดยคํานึงถึงการกํากับดูแลการทําธุรกรรมและการลงทุนของธนาคารพาณิชย์ในหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทต่างประเทศตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกําหนด ให้สํานักงานมีอํานาจประกาศกําหนดลักษณะของผู้ออกหุ้นกู้ ลักษณะของหุ้นกู้ที่เสนอขาย หรือข้อกําหนดอื่นที่จําเป็น เพิ่มเติมจากข้อกําหนดในประกาศนี้ได้
ข้อ ๔ ให้บริษัทต่างประเทศที่ประสงค์จะเสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ตามประกาศนี้ ยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงานตามแบบพร้อมเอกสารหลักฐานตามที่สํานักงานประกาศกําหนด และชําระค่าธรรมเนียมการยื่นคําขออนุญาตตามประกาศคณะกรรมกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ และการขออนุมัติโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
ในกรณีเป็นการขออนุญาตเสนอขายหุ้นกู้มีประกัน ให้บริษัทต่างประเทศยื่นคําขอความเห็นชอบบุคคลที่จะเป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ต่อสํานักงานมาพร้อมกับคําขออนุญาตด้วย ทั้งนี้ ตามที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๕ ในกรณีที่เป็นการเสนอขายหุ้นกู้ที่อาจมีการชําระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนโดยส่งมอบเป็นหุ้น ให้นําหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตรวจสอบหุ้นอ้างอิงและการไม่เป็นบุคคลภายใของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์ที่ออกใหม่ มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
ในการขออนุญาตเสนอขายหุ้นกู้ที่อาจมีการชําระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนโดยส่งมอบเป็นหุ้น ให้ผู้ขออนุญาตชําระค่าธรรมเนียมการขอตรวจสอบหุ้นที่จะนํามาใช้เป็นปัจจัยอ้างอิงในแต่ละครั้งในวันที่ยื่นคําขอตรวจสอบการใช้หุ้นอ้างอิงตามประกาศคณะกรรมกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ และการขออนุมัติโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
ข้อ ๖ ในการพิจารณาคําขออนุญาต ให้สํานักงานมีอํานาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ยื่นคําขอมาชี้แจง ส่งเอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเติมได้ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ในกรณีที่ผู้ยื่นคําขออนุญาตไม่มาชี้แจง หรือไม่ส่งเอกสารหลักฐานภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ให้ถือว่าผู้ยื่นคําขอไม่ประสงค์จะขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่นั้นอีกต่อไป
ข้อ ๗ ในการพิจารณาว่าคําขออนุญาตใดมีลักษณะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่กําหนดไว้ในประกาศนี้หรือไม่ ให้สํานักงานมีอํานาจดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตหรือการเสนอขายหุ้นกู้มีลักษณะหรือรูปแบบเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะได้รับอนุญาตตามประกาศนี้ แต่มีข้อเท็จจริงซึ่งทําให้พิจารณาได้ว่า ความมุ่งหมายหรือเนื้อหาสาระที่แท้จริง (substance) ของการเสนอขายหุ้นกู้นั้นเข้าลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือประกาศนี้ สํานักงานอาจไม่อนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ตามคําขออนุญาตได้ ทั้งนี้ สํานักงานต้องแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบถึงเหตุผลประกอบการพิจารณาอย่างชัดเจน
(2) ในกรณีที่เข้าลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ สํานักงานอาจผ่อนผันไม่นําหลักเกณฑ์ตามประกาศนี้มาใช้พิจารณาคําขออนุญาต หรือไม่นําเงื่อนไขตามประกาศนี้มาใช้บังคับกับการเสนอขายหุ้นกู้ที่ได้รับอนุญาตได้ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมและความเพียงพอของข้อมูลประกอบ
การตัดสินใจลงทุนและมาตรการคุ้มครองผู้ลงทุนเป็นสําคัญ ทั้งนี้ สํานักงานอาจกําหนดเงื่อนไขให้ผู้ขออนุญาตต้องปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยก็ได้
(ก) ประโยชน์ที่จะได้จากการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผันให้ ไม่คุ้มค่ากับต้นทุนของผู้ขออนุญาตในการปฏิบัติ และมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนซึ่งทําให้พิจารณาได้ว่าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังกล่าว ไม่มีนัยสําคัญสําหรับการพิจารณาอนุญาตในกรณีนั้น
2. ผู้ขออนุญาตมีข้อจํากัดตามกฎหมายอื่นที่ทําให้ไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผัน
(ค) ผู้ขออนุญาตมีมาตรการอื่นที่เพียงพอ และสามารถทดแทนการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผัน
ข้อ ๘ ให้สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขอภายในเจ็ดวันทําการนับแต่วันที่สํานักงานได้รับคําขอพร้อมเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน
หมวด ๑ การขออนุญาตและการอนุญาต
ข้อ ๙ บริษัทต่างประเทศที่จะได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ตามประกาศนี้ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) ไม่อยู่ระหว่างค้างการนําส่งงบการเงินหรือรายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทต่อสํานักงานตามมาตรา 56 หรือไม่อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขงบการเงินหรือรายงานที่มีหน้าที่ต้องจัดทําและจัดส่งตามมาตรา 56 หรือมาตรา 57 ตามที่สํานักงานแจ้งให้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขนั้น หรือไม่อยู่ระหว่างการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคําสั่งของสํานักงานตามมาตรา 58 ทั้งนี้ เว้นแต่ได้รับการผ่อนผันจากสํานักงาน
(2) ได้จดข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ที่จะเสนอขาย ซึ่งแสดงว่าบริษัทที่ออกหุ้นกู้จะไม่รับจดทะเบียนการโอนหุ้นกู้ไม่ว่าในทอดใด ๆ หากการโอนหุ้นกู้ดังกล่าวจะทําให้ผู้ถือหุ้นกู้เป็นบุคคลอื่นนอกจากธนาคารพาณิชย์หรือผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร
(3) ไม่เคยเสนอขายหุ้นกู้โดยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขตามประกาศนี้ อย่างมีนัยสําคัญ
ข้อ ๑๐ ในการเสนอขายหุ้นกู้ที่ได้รับอนุญาตตามประกาศนี้ บริษัทต่างประเทศต้องจัดให้หุ้นกู้ที่เสนอขายมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) มีคําเรียกชื่อเป็นการเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงหุ้นกู้ที่เสนอขาย ทั้งนี้ คําเรียกชื่อหุ้นกู้ดังกล่าวต้องแสดงถึงปีที่ครบกําหนดไถ่ถอน และลักษณะพิเศษของหุ้นกู้ (ถ้ามี) ไว้โดยชัดเจน
(2) ออกตามข้อกําหนดสิทธิที่มีรายการอย่างน้อยเป็นไปตามมาตรา 42(1) ถึง (9)
(3) มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เป็นไปตามข้อ 11
(4) มีข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ให้อยู่ในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์หรือผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร
ความในวรรคหนึ่ง (2) และ (3) มิให้ใช้บังคับกับการเสนอขายหุ้นกู้ต่อธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะเจาะจงซึ่งมีจํานวนไม่เกินสิบราย ในรอบระยะเวลาสี่เดือนใด ๆ
ข้อ ๑๑ หุ้นกู้ที่เสนอขายต้องมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน เว้นแต่จะได้รับการผ่อนผันจากสํานักงาน
(1) อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่เสนอขาย
(2) อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทต่างประเทศที่ออกหุ้นกู้
(3) อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ค้ําประกันหุ้นกู้ เฉพาะในกรณีที่เป็นการค้ําประกันที่มีผลบังคับให้ผู้ค้ําประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้ โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ก่อนครบกําหนดอายุของหุ้นกู้
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้จะต้องมีอยู่อย่างต่อเนื่องจนกว่าสิทธิเรียกร้องตามหุ้นกู้จะระงับลง เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นและสมควร สํานักงานอาจผ่อนผันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ โดยกําหนดเงื่อนเวลาหรือเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้ ทั้งนี้ โดยคํานึงถึงความจําเป็นของผู้ลงทุนในการมีข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น
ข้อ ๑๒ หุ้นกู้ที่เสนอขายตามประกาศนี้ต้องเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ในกรณีที่มีบุคคลใดแสดงความประสงค์ต่อบริษัทต่างประเทศที่จะลงทะเบียนการโอนหุ้นกู้ ให้บริษัทต่างประเทศตรวจสอบความถูกต้องของการโอนหุ้นกู้ หากพบว่าเป็นการโอนที่ขัดต่อข้อจํากัดการโอนที่ได้จดทะเบียนไว้กับสํานักงาน บริษัทต่างประเทศต้องไม่ลงทะเบียนการโอนหุ้นกู้
ในกรณีที่บริษัทต่างประเทศจัดให้มีนายทะเบียนหุ้นกู้ ต้องดําเนินการให้นายทะเบียนหุ้นกู้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในวรรคสองด้วย
ข้อ ๑๓ ให้บริษัทต่างประเทศเสนอขายหุ้นกู้ให้แล้วเสร็จภายในหกเดือนนับแต่วันที่สํานักงานแจ้งผลการอนุญาต
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่มีการออกใบหุ้นกู้ ให้บริษัทต่างประเทศส่งมอบใบหุ้นกู้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่ประกาศกําหนดตามความในมาตรา 88
ข้อ ๑๕ ในกรณีที่สํานักงานพบว่าภายหลังการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงที่ทําให้บริษัทต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตตามประกาศนี้มีลักษณะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะได้รับอนุญาต และบริษัทไม่สามารถแก้ไขลักษณะให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ได้ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ให้สํานักงานมีอํานาจแจ้งให้บริษัทระงับการเสนอขายหุ้นกู้ที่จะออกใหม่ และเมื่อมีการแจ้งแล้ว ให้ถือว่าการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ในส่วนที่ยังมิได้เสนอขายหรือยังไม่มีผู้จองซื้อเป็นอันสิ้นสุดลง
การแจ้งระงับการเสนอขายหุ้นกู้ตามวรรคหนึ่งไม่กระทบต่อการบังคับตามกฎหมายระหว่างคู่สัญญาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับหุ้นกู้ที่ได้ออกไปก่อนหรือหลังวันที่การระงับการเสนอขายหุ้นกู้มีผลบังคับ
หมวด ๑ การเปิดเผยข้อมูลก่อนและภายหลังการเสนอขายหุ้นกู้
ข้อ ๑๖ ก่อนการเสนอขายหุ้นกู้ในแต่ละครั้งในประเทศไทย ให้ผู้เสนอขายหุ้นกู้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสํานักงานจํานวนสามชุด เว้นแต่ได้รับยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้
ข้อ ๑๗ แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นต่อสํานักงานให้ใช้แบบ 69-S ท้ายประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ โดยจะจัดทําเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้
ข้อ ๑๘ นอกจากการยื่นข้อมูลในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์แล้ว ให้ผู้เสนอขายหุ้นกู้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน พร้อมทั้งคําแปลภาษาไทย (ถ้ามี) ต่อสํานักงานในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบการรับส่งข้อมูลตามแนวทางที่สํานักงานกําหนดด้วย ทั้งนี้ ข้อมูลที่ยื่นต่อสํานักงานทั้งในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์และรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีข้อความถูกต้องตรงกัน
ข้อ ๑๙ ภายใต้บังคับมาตรา 68 และมาตรา 75 เมื่อผู้เสนอขายหุ้นกู้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสํานักงาน และได้ชําระค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานประกาศกําหนดแล้ว ให้แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นตามข้อ 16 มีผลใช้บังคับภายในวันทําการถัดจากวันที่ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนนั้น
ข้อ ๒๐ นับแต่วันที่แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนของผู้เสนอขายหุ้นกู้ที่ได้ยื่นต่อสํานักงานตามหมวดนี้มีผลใช้บังคับ ให้บริษัทที่ออกหุ้นกู้มีหน้าที่จัดทําและส่งรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัท ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนประกาศกําหนดตามความในมาตรา 56
ข้อ ๒๑ ให้ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ดังต่อไปนี้ ยังคงมีผลใช้บังคับ โดยอนุโลม ภายใต้บังคับประกาศนี้ต่อไปจนกว่าจะได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
(1) ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 14/2549 เรื่อง แบบคําขออนุญาตเสนอขายหุ้นกู้ต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยและเอกสารหลักฐานประกอบคําขออนุญาต ลงวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2549
(2) ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สย. 37/2549 เรื่อง การให้ความเห็นชอบสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการเสนอขายตราสารหนี้ ลงวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2549
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - **\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_**
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ของบริษัทต่างประเทศต่อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลและข้อยกเว้น ทั้งนี้ ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้สอดคล้องกับการเสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ของบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยต่อผู้ลงทุนสถาบันด้วย จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,820 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 131/2548 เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล การพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4)และกรณีคำนวณรายได้รายจ่าย ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 131/2548
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล การพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4)และกรณีคํานวณรายได้รายจ่าย
ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
-----------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําสําหรับการพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) และกรณีคํานวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และเป็นหนี้ที่ต้องดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด ก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2548 และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้สถาบันการเงินดังกล่าวต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือกระทําการอย่างอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน ให้ถือว่ากรณีมีเหตุอันสมควรที่สถาบันการเงินดังกล่าวสามารถดําเนินการได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549
ข้อ ๒ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และเป็นหนี้ที่ต้องดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด ก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นลูกหนี้ต้องโอนทรัพย์สินหรือให้บริการแก่สถาบันการเงินดังกล่าวโดยไม่มีค่าตอบแทน หรือมีค่าตอบแทนหรือค่าบริการต่ํากว่าราคาตลาด ให้ถือว่าการโอนทรัพย์สินหรือการให้บริการดังกล่าวมีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549
ข้อ ๓ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และเป็นหนี้ที่ต้องดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด ก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2548 และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้สถาบันการเงินดังกล่าวทําสัญญาหรือข้อตกลงให้ลูกหนี้ชําระเงินต้นก่อนการชําระดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการ ให้ถือว่าเป็นกรณีที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้สถาบันการเงินดังกล่าวกระทําได้ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2548 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549
ข้อ ๔ ในข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3
“สถาบันการเงิน” หมายความว่า
(1) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(2) ธนาคารออมสินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารออมสิน
(3) บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
(4) บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(5) บริษัทบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์
(6) บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยตามกฎหมายว่าด้วยบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
(7) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสําหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
“ลูกหนี้ของสถาบันการเงิน” ให้หมายความรวมถึงผู้ค้ําประกันของลูกหนี้ด้วย
ข้อ ๕ ให้นําความในข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 มาใช้บังคับกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างเจ้าหนี้อื่นกับลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น ซึ่งได้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนดมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549
“เจ้าหนี้อื่น” หมายความว่า เจ้าหนี้ที่มิใช่สถาบันการเงินซึ่งได้ดําเนินการเจรจาร่วมกับสถาบันการเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ และได้ทําความตกลงเป็นหนังสือร่วมกับเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน
“ลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น” หมายความว่า ลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินด้วย และให้หมายความรวมถึงผู้ค้ําประกันของลูกหนี้ด้วย
ข้อ ๖ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2548 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,821 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 28/2552 เรื่อง การใช้เครื่องจักรประทับหรือวิธีอื่นใดแทนการลงลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 28/2552
เรื่อง การใช้เครื่องจักรประทับหรือวิธีอื่นใดแทนการลงลายมือชื่อ
ของกรรมการหรือนายทะเบียนหลักทรัพย์
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“หลักทรัพย์” หมายความว่า หุ้นกู้ หน่วยลงทุน หลักทรัพย์จดทะเบียน หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์
ข้อ ๒ ให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ใช้เครื่องจักรประทับแทนการลงลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนในใบหลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ได้ โดยต้องทําให้ปรากฏลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนในใบหลักทรัพย์อย่างชัดเจน
ข้อ ๓ ในการใช้วิธีอื่นใดแทนการลงลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนในใบหลักทรัพย์ บริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์อาจใช้วิธีดังต่อไปนี้ก็ได้
(1) การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พิมพ์ลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ให้ปรากฏอย่างชัดเจนในใบหลักทรัพย์
(2) การใช้ดวงตราเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของนายทะเบียนหลักทรัพย์แทนการลงลายมือชื่อของนายทะเบียนในใบหลักทรัพย์ โดยนายทะเบียนหลักทรัพย์ต้องขออนุญาตใช้ดวงตราดังกล่าวต่อสํานักงานก่อน ในการอนุญาตสํานักงานจะกําหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
ข้อ ๔ ในการใช้เครื่องจักรประทับตามข้อ 2 หรือวิธีอื่นใดตามข้อ 3 ให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์จัดให้มีระบบควบคุมภายในที่สามารถป้องกันการกระทําโดยมิชอบในการออกใบหลักทรัพย์
ในกรณีที่ปรากฏว่าบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ให้สํานักงานมีอํานาจสั่งให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ระงับการใช้เครื่องจักรประทับตามข้อ 2 หรือวิธีอื่นใดตามข้อ 3 ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด
ข้อ ๕ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง การใช้เครื่องจักรประทับหรือวิธีอื่นใดแทนการลงลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๖ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง การใช้เครื่องจักรประทับหรือวิธีอื่นใดแทนการลงลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิประกาศฉบับนี้
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้เครื่องจักรประทับหรือวิธีอื่นใดแทนการลงลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง การใช้เครื่องจักรประทับหรือวิธีอื่นใดแทนการลงลายมือชื่อของกรรมการหรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,822 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 130/2547 เรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 130/2547
เรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
-------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําผู้เสียภาษีที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต สําหรับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะกรณี การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ คําว่า “ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต” หมายความว่า ผู้ประกอบการที่ออกบัตรเครดิตให้แก่ผู้ถือบัตรเพื่อใช้ชําระราคาสินค้า ค่าบริการ หรือเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ จากบัตรเครดิต โดยผู้ประกอบการจะเป็นผู้ชําระราคาสินค้า หรือค่าบริการให้แก่ผู้รับบัตรแทนผู้ถือบัตรก่อน ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรต้องชําระค่าธรรมเนียม ค่าบริการ ดอกเบี้ย หรือค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ในบัตรเครดิตนั้น
คําว่า “ผู้ถือบัตร” หมายความว่า บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งได้รับ การออกบัตรเครดิต เพื่อใช้ชําระราคาสินค้าหรือค่าบริการให้แก่ผู้รับบัตร หรือเพื่อใช้ประโยชน์ ในด้านอื่น ๆ จากบัตรเครดิต นอกจากนี้ให้หมายความรวมถึงผู้ที่ได้รับการออกบัตรเครดิตประเภทบัตรเสริมด้วย
คําว่า “ผู้รับบัตร” หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการซึ่งตกลงรับชําระราคาสินค้าหรือค่าบริการด้วยบัตรเครดิตจากผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ข้อ ๒ การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตเป็นกิจการเฉพาะอย่างที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งกฎหมายกําหนดให้เป็นกิจการที่ต้องเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ ตามมาตรา 91/4(2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 3(2) แห่ง พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกําหนดกิจการเฉพาะอย่าง ที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะให้เป็นกิจการที่ต้องเสียภาษี มูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 246) พ.ศ.2534
การประกอบกิจการของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามวรรคหนึ่ง แต่เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการการธนาคารตามกฎหมาย ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือกฎหมายเฉพาะหรือการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ตามมาตรา 91/2(1) และ (5) แห่งประมวลรัษฎากร ให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ข้อ ๓ ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามข้อ 2 วรรคหนึ่ง ซึ่งได้ให้บริการในราชอาณาจักรมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 และมาตรา 82 แห่งประมวลรัษฎากร โดยคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
การให้บริการตามวรรคหนึ่ง ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อได้รับชําระราคาค่าบริการ เว้นแต่กรณีที่ได้มีการออกใบกํากับภาษีหรือได้ใช้บริการไม่ว่าโดย ตนเองหรือบุคคลอื่นเกิดขึ้นก่อนได้รับชําระราคาค่าบริการ ก็ให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เกิดขึ้นตามส่วนของการกระทํานั้น ๆ แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 78/1(1) แห่งประมวลรัษฎากร
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามวรรคหนึ่ง ต้องนํามูลค่าทั้งหมดที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตมารวมเป็นมูลค่าของฐานภาษีในการคํานวณเสียภาษี มูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร โดยมูลค่าของฐานภาษีที่ต้องนําไปรวมคํานวณ เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่างเช่น
(1) ค่าธรรมเนียมการเข้าเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของผู้ถือบัตร เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Membership fee) ค่าธรรมเนียมรายปี (Annual fee) ค่าทําบัตรใหม่
(2) ค่าธรรมเนียมการขอเอกสารเกี่ยวกับบัตรเครดิต
(3) ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการให้บริการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิตที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตรได้ไม่เกินอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด ไม่ว่าการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายจะเรียกชื่ออย่างใดก็ตาม เช่น Cash advance fee ATM service fee (สําหรับบัตรเครดิต) Transaction fee ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า ของผู้ถือบัตรไทยในต่างประเทศ
(4) ค่าบริการใช้เครื่องรูดบัตรที่เรียกเก็บจากผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตรายอื่น
(5) ส่วนลด (Discount revenue) ที่ได้รับจากร้านค้าสมาชิกในประเทศและต่างประเทศ
(6) ค่าตอบแทนที่ได้รับจากผู้รับบัตรเนื่องจากการจัดรายการส่งเสริมการขายร่วมกัน
(7) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการติดตามทวงถามการชําระหนี้จากบัตรเครดิตที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตร
(8) ค่าธรรมเนียมการชําระเงินจากบัตรเครดิตที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตร
(9) ส่วนแบ่งรายได้จากการใช้บัตรเครดิต (Billing credit)
ข้อ ๔ ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามข้อ 2 วรรคสอง ในราชอาณาจักร มีหน้าที่ ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/2 แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 3.0 ของรายรับตามมาตรา 91/6 แห่งประมวลรัษฎากร
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องนํารายรับที่ได้รับหรือพึงได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการมารวมคํานวณเป็นรายรับในการคํานวณเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/5 แห่งประมวลรัษฎากร โดยรายรับที่ต้องนําไปรวมคํานวณเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตัวอย่างเช่น
(1) ดอกเบี้ยในหนี้ค้างชําระ (Interest rate) หรือดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดชําระหนี้ หรือค่าปรับในการชําระหนี้ล่าช้ากว่ากําหนด (Late payment penalties) หรือค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการอื่นใดที่มีลักษณะทํานองเดียวกันซึ่งเรียกเก็บจากผู้ถือบัตร
(2) ดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตรจากการให้ผู้ถือบัตรผ่อนชําระเป็นงวด
(3) ดอกเบี้ยการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิตจากผู้ถือบัตร (Interest on cash advance)
(4) ค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต (Interchange fee)
ข้อ ๕ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หนังสือตอบข้อหารือ หรือทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2547
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,823 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.ที่ กจ. 3 /2557 เรื่อง การไม่นำบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับการเสนอขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 3/2557
เรื่อง การไม่นําบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์
ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับการเสนอขายหน่วย
ของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 63(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 10/2555 เรื่อง การไม่นําบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ลงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555
หมวด ๑ ข้อกําหนดทั่วไป
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ส่วน ๑ สาระสําคัญของข้อกําหนด
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับกรณีดังต่อไปนี้
(1) การเสนอขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศแก่ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยมีรายละเอียดตามหมวด 2
(2) การเสนอขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศแก่ผู้ลงทุนทั่วไป โดยมีรายละเอียดตามหมวด 3
ส่วน ๒ บทนิยาม
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๔ ในประกาศนี้
“ผู้ลงทุนทั่วไป” หมายความว่า ผู้ลงทุนที่มิใช่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่
“ผู้ลงทุนสถาบัน” หมายความว่า ผู้ลงทุนสถาบันตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่
“ผู้ลงทุนรายใหญ่” หมายความว่า ผู้ลงทุนรายใหญ่ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่
“โครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ” หมายความว่า โครงการจัดการลงทุน (collective investment scheme) ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศกลุ่มอาเซียน โดยได้รับอนุญาตการจดทะเบียนหรือการดําเนินการอื่นใดในทํานองเดียวกับการอนุญาตหรือการจดทะเบียนจากหน่วยงานกํากับดูแลหลักให้จัดตั้งโครงการดังกล่าว
“ประเทศกลุ่มอาเซียน” หมายความว่า ประเทศกลุ่มอาเซียนที่เป็นสมาชิกของ International Organization of Securities Commissions (IOSCO) โดยเป็นพหุภาคีประเภท signatory A ใน Multilateral Memorandum of Understanding Concerning Consultation and Cooperation and the Exchange of Information (MMOU)
“หน่วย” หมายความว่า หลักทรัพย์ประเภทหุ้นของบริษัท (investment company) หรือหลักทรัพย์ประเภทใบทรัสต์ของกองทรัสต์ (unit trust) ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารทางการเงิน
“ผู้รับผิดชอบในการดําเนินการ” (CIS Operator) หมายความว่า ผู้รับผิดชอบในการดําเนินการของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ
“หน่วยงานกํากับดูแลหลัก” (home regulator) หมายความว่า หน่วยงานกํากับดูแลในประเทศกลุ่มอาเซียนที่มีอํานาจกํากับดูแลโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ หรือผู้รับผิดชอบในการดําเนินการ
“บริษัทนายหน้า” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์
หมวด ๒ การเสนอขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ
แก่ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๕ ให้หน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ครบถ้วนดังต่อไปนี้ เป็นหลักทรัพย์ที่มิให้นําบทบัญญัติในหมวด 3 ว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับ
(1) เป็นหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่มีลักษณะตามข้อ 6
(2) เสนอขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศดังกล่าวทั้งหมดต่อผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่
(3) มีบริษัทนายหน้าเป็นตัวแทนที่รับผิดชอบในการซื้อขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศดังกล่าวในประเทศไทย
(4) มีตัวแทน (local representative) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ หรือเป็นสํานักงานตัวแทนในประเทศไทย (representative office) ตามมาตรา 93 เพื่อประสานงานและอํานวยความสะดวกในเรื่องดังต่อไปนี้ในประเทศไทย
(ก) การเปิดเผยและจัดส่งข้อมูลของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศตามที่กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของหน่วยงานกํากับดูแลหลักกําหนดให้เปิดเผยหรือส่งให้แก่ผู้ลงทุนหรือข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศซึ่งผู้รับผิดชอบในการดําเนินการของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศประสงค์จะเปิดเผยให้แก่ผู้ลงทุน
(ข) การรับหนังสือ คําสั่ง หมายเรียก หรือเอกสารใด ๆ แทนโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ หรือผู้รับผิดชอบในการดําเนินการ
ข้อ ๖ โครงการจัดการลงทุนต่างประเทศตามข้อ 5(1) ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) มีผู้รับผิดชอบในการดําเนินการของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(ก) อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของหน่วยงานกํากับดูแลหลักซึ่งมีอํานาจในการพิจารณาลงโทษ หรือสั่งให้ผู้รับผิดชอบในการดําเนินการของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศกระทําการหรืองดเว้นกระทําการ หากมีการกระทําที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของผู้ลงทุนได้
(ข) ไม่อยู่ระหว่างถูกสั่งพักหรือเพิกถอนการประกอบธุรกิจโดยหน่วยงานกํากับดูแลหลัก
(ค) ไม่เคยฝ่าฝืนกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของหน่วยงานกํากับดูแลหลักเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่มีนัยสําคัญแก่ผู้ลงทุนหรือหน่วยงานกํากับดูแลหลัก หรือไม่อยู่ระหว่างค้างการนําส่งเอกสารดังกล่าวแก่ผู้ลงทุนหรือหน่วยงานกํากับดูแลหลัก
(2) มีนโยบายการลงทุนในประเภททรัพย์สินและอัตราส่วนการลงทุนในลักษณะเดียวกับกองทุนรวมตามประกาศเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนที่ออกตามมาตรา 117 ทั้งนี้ กรณีที่โครงการจัดการลงทุนต่างประเทศมีนโยบายการลงทุนแบบ feeder fund ต้องเป็นการลงทุนหรือมีไว้ซึ่งหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่อยู่ในประเทศกลุ่มอาเซียน
(3) มีการเสนอขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศในประเทศที่หน่วยงานกํากับดูแลหลักตั้งอยู่ และต้องไม่อยู่ระหว่างถูกหน่วยงานกํากับดูแลหลักสั่งห้ามการซื้อขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศดังกล่าว
หมวด ๓ การเสนอขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ
แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๗ ให้หน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขที่ครบถ้วนดังต่อไปนี้ เป็นหลักทรัพย์ที่มิให้นําบทบัญญัติในหมวด 3 ว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับ
(1) เป็นโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศซึ่งหน่วยงานกํากับดูแลหลักลงนามร่วมกับสํานักงานใน Memorandum of Understanding on Streamlined Authorisation Framework for Cross-border Public Offers of ASEAN Collective Investment Schemes
(2) เป็นโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่มีลักษณะตามที่กําหนดใน Part I : Qualifications of the CIS Operator, Trustee/ Fund Supervisor, and requirements relating to Approval, Valuation, and Operational Matters และ Part II : The Product Restrictions of Qualifying CIS ซึ่งอยู่ใน Appendix C : Standards of Qualifying CIS ของ Memorandum of Understanding on Streamlined Authorisation Framework for Cross-border Public Offers of ASEAN Collective Investment Schemes
(3) เป็นโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่เสนอขายหน่วยลงทุนในลักษณะเดียวกับข้อ 6(3) โดยอนุโลม
(4) เป็นโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่มีบริษัทนายหน้าเป็นตัวแทนที่รับผิดชอบในการซื้อขายหน่วยของโครงการดังกล่าวในประเทศไทย
(5) เป็นโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่กําหนดให้มีตัวแทน (local representative) ของผู้รับผิดชอบในการดําเนินการซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ หรือเป็นสํานักงานตัวแทนในประเทศไทย (representative office) ตามมาตรา 93 เพื่อประสานงานและอํานวยความสะดวกในเรื่องดังต่อไปนี้ในประเทศไทย
(ก) การดําเนินการตามข้อ 5(4)
(ข) การตรวจสอบรายละเอียดของการจัดตั้งโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ (constitutive document)
(ค) การติดต่อกับนายทะเบียนของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศเพื่อผู้ถือหน่วยในประเทศไทย
(6) เป็นโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่จัดให้มีช่องทางในการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการอื่นใดนอกเหนือจากการยุติข้อพิพาทโดยศาลอย่างเหมาะสมหรือตามแนวทางของ Dispute Resolution and Enforcement Mechanism (“DREM”)
(7) เป็นโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศที่ระบุเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่มีสาระสําคัญอย่างน้อยเช่นเดียวกับข้อมูลที่กองทุนรวมตามประกาศเกี่ยวกับการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมซึ่งออกตามมาตรา 117 มีหน้าที่เปิดเผยต่อผู้ถือหน่วยลงทุน
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
(นายอัชพร จารุจินดา)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,824 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 29/2552 เรื่อง การผ่อนผันหลักเกณฑ์ในการออกและเสนอขายหลักทรัพย์เนื่องจากการฟื้นฟูกิจการ
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 29/2552
เรื่อง การผ่อนผันหลักเกณฑ์ในการออกและเสนอขาย
หลักทรัพย์เนื่องจากการฟื้นฟูกิจการ
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 35 และมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “หลักทรัพย์” หมายความว่า หุ้น หุ้นกู้ หรือหลักทรัพย์แปลงสภาพ
(2) “หลักทรัพย์แปลงสภาพ” หมายความว่า หุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้
(3) “บริษัท” หมายความว่า บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บริษัทที่มีหลักทรัพย์ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ หรือบริษัทมหาชนจํากัดที่เคยเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ต่อประชาชนโดยต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสํานักงาน
(4) “สถาบันการเงิน” หมายความว่า
(ก) ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน หรือ
(ข) บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๒ ให้บริษัทซึ่งประสงค์จะเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ที่ต้องปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนเกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ ได้รับการผ่อนผันหรือยกเว้นดังต่อไปนี้
(1) ได้รับการผ่อนผันหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ในเรื่องเกี่ยวกับรายการสอบบัญชีแบบไม่มีเงื่อนไข หรือรายการสอบบัญชีที่มีเงื่อนไขซึ่งระบุเป็นจํานวนเงินได้ชัดเจน โดยให้บริษัทสามารถยื่นรายงานการสอบบัญชีที่มีเงื่อนไขซึ่งไม่สามารถระบุจํานวนเงินอย่างชัดเจนได้ ทั้งนี้ เงื่อนไขดังกล่าวต้องเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์หรือความไม่แน่นอนที่มิใช่เกิดจากความไม่ร่วมมือหรือการพยายามปกปิดข้อมูลโดยบริษัท
(2) ได้รับการยกเว้นมิให้นําหลักเกณฑ์ตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ในเรื่องจํานวนหุ้นที่ออกเพื่อรองรับหุ้นกู้แปลงสภาพหรือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น มาใช้บังคับกับบริษัทดังกล่าว
ข้อ ๓ บริษัทที่จะได้รับการผ่อนผันหรือยกเว้นหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) บริษัทจําเป็นต้องเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ตามแผนฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลายซึ่งศาลเห็นชอบแผนนั้นด้วยแล้ว
(2) บริษัทจําเป็นต้องเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ตามแผนดําเนินการเพื่อแก้ไขเหตุแห่งการเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนที่จัดทําขึ้นตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าด้วยการเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียนและได้จัดส่งแผนดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว
(3) บริษัทเป็นสถาบันการเงินซึ่งประสงค์จะเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่เพื่อเสริมสร้างฐานะทางการเงิน เช่น เพื่อเพิ่มเงินกองทุน เพื่อเพิ่มแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการประกอบกิจการ หรือเสริมสร้างสภาพคล่อง เป็นต้น โดยได้รับความเห็นชอบให้ออกหลักทรัพย์นั้นจากหน่วยงานที่กํากับดูแลสถาบันการเงินดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ตามกฎหมายที่กํากับดูแลสถาบันการเงินดังกล่าวกําหนดให้การออกหลักทรัพย์ใดต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่กํากับดูแลสถาบันการเงินนั้น
(4) บริษัทประสงค์จะเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่เพราะมีเหตุจําเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทางด้านเงินทุนหรือปรับโครงสร้างบริษัท เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาด้านสภาพคล่องหรือการชําระคืนหนี้อย่างมีนัยสําคัญหรือประสบปัญหาเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อการดํารงอยู่ของบริษัท เช่น มียอดขาดทุนสะสมเป็นจํานวนมากเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นหรือมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงผิดปกติเมื่อเทียบกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นต้น โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินที่บริษัทแต่งตั้งได้ตรวจสอบบริษัทและแสดงความเห็นต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทว่าบริษัทมีเหตุจําเป็นที่จะต้องเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ข้อ ๔ ในการพิจารณาคําขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ของบริษัทที่ได้รับการผ่อนผันหรือยกเว้นตามประกาศนี้ ให้สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตดังกล่าวภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําขออนุญาตพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน
ข้อ ๕ ให้บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ที่ได้รับการผ่อนผันหรือยกเว้นหลักเกณฑ์จากสํานักงานตามประกาศนี้ จัดส่งหนังสือชี้ชวนให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทหรือแจ้งให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทขอรับหนังสือชี้ชวนจากบริษัทได้ ทั้งนี้ การจัดส่งหนังสือชี้ชวนหรือการแจ้งดังกล่าวให้บริษัทดําเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันปิดการเสนอขายหลักทรัพย์นั้น
ข้อ ๖ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 36/2541 เรื่อง การผ่อนผันหลักเกณฑ์ในการออกและเสนอขายหลักทรัพย์เนื่องจากการฟื้นฟูกิจการ ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๗ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 36/2541 เรื่อง การผ่อนผันหลักเกณฑ์ในการออกและเสนอขายหลักทรัพย์เนื่องจากการฟื้นฟูกิจการ ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการผ่อนผันหลักเกณฑ์ในการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 36/2541 เรื่อง การผ่อนผันหลักเกณฑ์ในการออกและเสนอขายหลักทรัพย์เนื่องจากการฟื้นฟูกิจการ ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2541 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,825 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 129/2547 เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล การพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4)และกรณีคำนวณรายได้รายจ่าย ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 129/2547
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล การพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4)และกรณีคํานวณรายได้รายจ่าย
ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
-----------------------------------------------------
ข้อ ๑ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้สถาบันการเงินดังกล่าวต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือกระทําการอย่างอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน ให้ถือว่ากรณีมีเหตุอันสมควรที่สถาบันการเงินดังกล่าวสามารถดําเนินการได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2547
ข้อ ๒ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นลูกหนี้ต้องโอนทรัพย์สินหรือให้บริการแก่สถาบันการเงินดังกล่าวโดยไม่มีค่าตอบแทน หรือมีค่าตอบแทนหรือค่าบริการต่ํากว่าราคาตลาด ให้ถือว่าการโอนทรัพย์สินหรือการให้บริการดังกล่าวมีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2547
ข้อ ๓ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้สถาบันการเงินดังกล่าวทําสัญญาหรือข้อตกลงให้ลูกหนี้ชําระเงินต้นก่อนการชําระดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการ ให้ถือว่าเป็นกรณีที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้สถาบันการเงินดังกล่าวกระทําได้ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2547
ข้อ ๔ ในข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 สถาบันการเงิน หมายความว่า (1) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ (2) ธนาคารออมสิน (3) บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (4) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสําหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม (5) บริษัทบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์ (6) บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน ลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ให้หมายความรวมถึง ผู้ค้ําประกันของลูกหนี้ด้วย
ข้อ ๕ ให้นําความในข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 มาใช้บังคับกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างเจ้าหนี้อื่นกับลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น ซึ่งได้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนดมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เจ้าหนี้อื่น หมายความว่า เจ้าหนี้ที่มิใช่สถาบันการเงินซึ่งได้ดําเนินการเจรจาร่วมกับสถาบันการเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ และได้ทําความตกลงเป็นหนังสือร่วมกับเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน ลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น หมายความว่า ลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินด้วย และให้หมายความรวมถึงผู้ค้ําประกันของลูกหนี้ด้วย
ข้อ ๖ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
(ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,826 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 7/2546 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ (ฉบับที่ 3)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 7/2546
เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขาย
ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
(ฉบับที่ 3)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในข้อ 56 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 56 ผู้ได้รับอนุญาตจะได้รับการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงสําหรับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นต่อเมื่อหุ้นอ้างอิงมีลักษณะตามที่สํานักงานประกาศกําหนด ทั้งนี้หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการขอตรวจสอบและการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงให้เป็นไปตามทีสํานักงานประกาศกําหนด”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกข้อ 57 และข้อ 58 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543
ข้อ 3 ให้ยกเลิกความในข้อ 60 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 60 ภายหลังการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น ผู้ได้รับอนุญาตต้องยื่นรายงานเกี่ยวกับการใช้หุ้นอ้างอิงต่อสํานักงานตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่สํานักงานประกาศกําหนดด้วย”
ข้อ 4 ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้ยื่นคําขอตรวจสอบการใช้หุ้นอ้างอิงต่อสํานักงานก่อนวันที่สํานักงานประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการขอตรวจสอบและการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิง ให้คําขอตรวจสอบและการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงดังกล่าวยังคงอยู่ภายใต้บังคับของข้อ 56 ข้อ 57 และข้อ 58 ของประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขาย
ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ก่อนแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศฉบับนี้
ข้อ 5 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2546 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2546
ร้อยเอก
(สุชาติ เชาว์วิศิษฐ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,827 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 21/2547 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ (ฉบับที่ 4)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 21/2547
เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขาย
ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
(ฉบับที่ 4)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 มาตรา 34(1) และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 7/1 และข้อ 7/2 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543
“ข้อ 7/1 ในการพิจารณาว่าคําขออนุญาตใดมีลักษณะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่กําหนดไว้ในประกาศนี้หรือไม่ ให้สํานักงานมีอํานาจดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตหรือการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์มีลักษณะหรือรูปแบบเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะได้รับอนุญาตตามประกาศนี้ แต่มีข้อเท็จจริงซึ่งทําให้พิจารณาได้ว่า ความมุ่งหมายหรือเนื้อหาสาระที่แท้จริง (substance) ของการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้น เข้าลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือประกาศนี้ สํานักงานอาจไม่อนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามคําขออนุญาตได้ ทั้งนี้ สํานักงานต้องแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบถึงเหตุผลประกอบการพิจารณาอย่างชัดเจน
(2) ในกรณีที่เข้าลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ สํานักงานอาจผ่อนผันไม่นําหลักเกณฑ์ตามประกาศนี้มาใช้พิจารณาคําขออนุญาต หรือไม่นําเงื่อนไขตามประกาศนี้มาใช้บังคับกับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ได้รับอนุญาตได้ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมและความเพียงพอของข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนและมาตรการคุ้มครองผู้ลงทุนเป็นสําคัญ ทั้งนี้ สํานักงานอาจกําหนดเงื่อนไขให้ผู้ขออนุญาตต้องปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยก็ได้
(ก) ประโยชน์ที่จะได้จากการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผันให้ ไม่คุ้มค่ากับต้นทุนของผู้ขออนุญาตในการปฏิบัติ และมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนซึ่งทําให้พิจารณาได้ว่าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังกล่าว ไม่มีนัยสําคัญสําหรับการพิจารณาอนุญาตในกรณีนั้น
(ข) ผู้ขออนุญาตมีข้อจํากัดตามกฎหมายอื่นที่ทําให้ไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผัน
(ค) ผู้ขออนุญาตมีมาตรการอื่นที่เพียงพอ และสามารถทดแทนการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผัน
ข้อ 7/2 ในกรณีเป็นการขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น สํานักงานสามารถผ่อนผันข้อกําหนดที่ห้ามมิให้ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงตามข้อ 12(3) ข้อ 22(3) และข้อ 37(2) เมื่อไม่มีเหตุให้สงสัยว่าการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการเอาเปรียบผู้ลงทุน และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายต้องเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่ให้สิทธิในการซื้อหุ้นอ้างอิงเพียงประการเดียว
(2) ผู้ขออนุญาตมีความผูกพันตามข้อกําหนดสิทธิในการจัดให้มีหุ้นอ้างอิงรองรับการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เต็มจํานวน และ
(3) ผู้ขออนุญาตไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหารายได้จากการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าว เช่น เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ควบคู่กับหลักทรัพย์ประเภทอื่น เป็นต้น”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในข้อ 59 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 59 ผู้ได้รับการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงต้องเริ่มดําเนินการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ภายในระยะเวลาที่สํานักงานประกาศกําหนด โดยหากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่าผลการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงในครั้งนั้นเป็นอันสิ้นสุดลง”
ข้อ 3 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2547
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,828 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 7/2548 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ (ฉบับที่ 5)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 7/2548
เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขาย
ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
(ฉบับที่ 5)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 มาตรา 34(1) และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความใน (4) ของข้อ 22 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(4) (ก) มีผู้บริหารที่เป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในระบบข้อมูลรายชื่อผู้บริหารตามประกาศ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์
(ข) มีผู้มีอํานาจควบคุมที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ โดยอนุโลม”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในข้อ 23 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 23 ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามข้อ 22(4)(ข) หรือ (5) หากสํานักงานเห็นว่าเหตุดังกล่าวเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงหรือได้มีการแก้ไขหรือกําหนดมาตรการป้องกันแล้ว สํานักงานอาจไม่นําเหตุดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาก็ได้”
ข้อ 3 ให้ยกเลิกความในข้อ 25 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 25 ในกรณีที่สํานักงานไม่อนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่เนื่องจากผู้ขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในข้อ 22(4)(ข) หรือ (5)
ในการแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาต ให้สํานักงานมีอํานาจกําหนดระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการพิจารณาคําขออนุญาตในคราวต่อไป โดยคํานึงถึงความร้ายแรงของข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นการกําหนดระยะเวลา ระยะเวลาดังกล่าวต้องไม่เกินสิบห้าปีนับแต่วันที่สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตต่อผู้ขออนุญาต
เมื่อพ้นระยะเวลาที่สํานักงานกําหนดตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อผู้ขออนุญาตได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สํานักงานกําหนดแล้ว มิให้สํานักงานนําข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการสั่งการตามวรรคหนึ่งมาประกอบการพิจารณาคําขอในครั้งใหม่อีก
ในกรณีที่สํานักงานเห็นว่าเหตุที่ทําให้ผู้ยื่นคําขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามข้อ 22(4)(ข) หรือ (5) เป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงหรือได้มีการแก้ไขหรือกําหนดมาตรการป้องกันแล้วสํานักงานอาจไม่นําข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขาดคุณลักษณะดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาก็ได้”
ข้อ 4 ให้ยกเลิกความใน (1) ของข้อ 67 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) (ก) มีผู้บริหารที่เป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในระบบข้อมูลรายชื่อผู้บริหารตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์
1. มีผู้มีอํานาจควบคุมที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในประกาศ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ โดยอนุโลม
(ค) ไม่มีประวัติขาดความรับผิดชอบในการเป็นบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือไม่มีผู้บริหารที่เคยดํารงตําแหน่งเป็นผู้บริหารในบริษัทที่มีประวัติดังกล่าว”
ข้อ 5 ให้ยกเลิกความในข้อ 68 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 68 ในกรณีที่สํานักงานไม่อนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ตามส่วนนี้ เนื่องจากผู้ขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในข้อ 67(1)(ข) หรือ (ค) ในการแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาต ให้สํานักงานมีอํานาจกําหนดระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการพิจารณาคําขออนุญาตในคราวต่อไป โดยคํานึงถึงความร้ายแรงของข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นการกําหนดระยะเวลา ระยะเวลาดังกล่าวต้องไม่เกินสิบห้าปีนับแต่วันที่สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตต่อผู้ขออนุญาต
เมื่อพ้นระยะเวลาที่สํานักงานกําหนดตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อผู้ขออนุญาตได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สํานักงานกําหนดแล้ว มิให้สํานักงานนําข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการสั่งการตามวรรคหนึ่งมาประกอบการพิจารณาคําขอในครั้งใหม่อีก
ในกรณีที่สํานักงานเห็นว่าเหตุที่ทําให้ผู้ยื่นคําขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามข้อ 67(1)(ข) หรือ (ค) เป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงหรือได้มีการแก้ไขหรือกําหนดมาตรการป้องกันแล้ว สํานักงานอาจไม่นําข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขาดคุณลักษณะดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาก็ได้”
ข้อ 6 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2548 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,829 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 28/2548 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ (ฉบับที่ 6)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 28 /2548
เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขาย
ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
(ฉบับที่ 6)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 มาตรา 14 มาตรา 34(1) และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในข้อ 2 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) คําว่า “ผู้บริหาร” “ผู้มีอํานาจควบคุม” “บริษัทใหญ่” “บริษัทย่อย” “บริษัทร่วม” “ผู้ที่เกี่ยวข้อง” “บริษัท” “ผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะ” “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” และ “บริษัทจดทะเบียน” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการยื่นและการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์
(2) “ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นหรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์
(3) “ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น” หมายความว่า
(ก) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ให้สิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือใบแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัทอื่น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กําหนดไว้
(ข) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของราคาหุ้นหรือราคาใบแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัทอื่น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กําหนดไว้ กับราคาที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่ราคาของหุ้นหรือราคาของใบแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัทอื่น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(4) “ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์” หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของดัชนีหลักทรัพย์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กําหนดไว้ กับดัชนีหลักทรัพย์ที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่ดัชนีหลักทรัพย์ที่กําหนดไว้สูงกว่าดัชนีหลักทรัพย์ที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(5) “ใบแสดงสิทธิ” หมายความว่า ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงที่มีหลักทรัพย์รองรับเป็นหุ้น ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย
(6) “หุ้นอ้างอิง” หมายความว่า
(ก) หุ้นหรือใบแสดงสิทธิรายการใดรายการหนึ่งหรือหลายรายการ ที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นตาม (3)(ก) มีสิทธิที่จะซื้อจากบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ
(ข) หุ้นหรือใบแสดงสิทธิรายการใดรายการหนึ่งหรือหลายรายการ ที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตาม (3)(ข) กําหนดให้ใช้ราคาหุ้นหรือราคาใบแสดงสิทธินั้นเป็นฐานในการคํานวณส่วนต่างของราคาหุ้นหรือราคาใบแสดงสิทธิเพื่อประโยชน์ในการกําหนดจํานวนเงินที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวมีสิทธิจะได้รับ
(7) “ดัชนีอ้างอิง” หมายความว่า ดัชนีที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์กําหนดให้ใช้ระดับของดัชนีนั้นเป็นฐานในการคํานวณส่วนต่างของดัชนีหลักทรัพย์เพื่อประโยชน์ในการกําหนดจํานวนเงินที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวมีสิทธิจะได้รับ
(8) “ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน” หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ผู้ขออนุญาตจะจัดให้มีการฝากทรัพย์สินไว้กับผู้รับฝากทรัพย์สินเสมือนเป็นประกันในการให้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้น
(9) “ข้อกําหนดสิทธิ” หมายความว่า ข้อกําหนดสิทธิและหน้าที่ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(10) “บุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง” หมายความว่า บุคคลที่อยู่ในฐานะที่อาจมีโอกาสล่วงรู้ข้อมูลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงอันเนื่องมาจากการมีโครงสร้างการถือหุ้นหรือโครงสร้างการจัดการร่วมกับบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย
(ก) ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงนั้น
(ข) มีบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงเป็นผู้ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด
(ค) มีผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมรวมกันเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกับผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง
(ง) มีกรรมการหรือผู้บริหารเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกับกรรมการที่มีอํานาจลงนามผูกพันหรือผู้บริหารของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง
(จ) มีโครงสร้างการถือหุ้นหรือการจัดการในลักษณะอื่นใดที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ที่ประสงค์จะยื่นคําขออนุญาตมีอํานาจควบคุมบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง หรือมีบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงเป็นผู้มีอํานาจควบคุม หรือมีผู้มีอํานาจควบคุมเป็นบุคคลเดียวกับผู้มีอํานาจควบคุมบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง
การนับรวมจํานวนหุ้นตาม (ก) (ข) หรือ (ค) ให้นับรวมหุ้นที่ถือโดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าวด้วย และในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นนิติบุคคล ให้นับรวมการถือหุ้นของกรรมการและผู้บริหารในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ของนิติบุคคลดังกล่าวด้วย
(11) “สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์”
ข้อ 2 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของ (1) ในข้อ 3 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543
“ในกรณีที่เป็นการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่ให้สิทธิที่จะซื้อใบแสดงสิทธิ หรือให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของราคาใบแสดงสิทธิ ข้อกําหนดเรื่องบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงในข้อ 12(3) ข้อ 22(3) และข้อ 37(2) ให้พิจารณาถึงบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นที่ใช้เพื่อรองรับใบแสดงสิทธิแทน และข้อกําหนดเรื่องการจัดทําบทวิเคราะห์เผยแพร่แก่บุคคลทั่วไปเกี่ยวกับความเหมาะสมในการลงทุนหรือราคาของหุ้นอ้างอิงในข้อ 28(2) ให้พิจารณารวมถึงหุ้นที่ใช้เพื่อรองรับใบแสดงสิทธิด้วย”
ข้อ 3 ให้ยกเลิกความใน (3) ของข้อ 8 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(3) ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ ซึ่งให้สิทธิที่จะซื้อหุ้นอ้างอิงซึ่งเป็นหุ้นที่ออกใหม่โดยบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ดังกล่าว รวมกับจํานวนเงินที่จะชําระเป็นค่าซื้อหุ้นอ้างอิงตามสิทธิดังกล่าว”
ข้อ 4 ให้ยกเลิกความใน (2) ของวรรคหนึ่งในข้อ 10 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(2) เป็นการเสนอขายแก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะ”
ข้อ 5 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งและวรรคสองของข้อ 11 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 11 การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่กองทุนรวมใดกองทุนรวมหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นหรือมีการลงทุนในลักษณะที่เป็นเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ตามหมวด 2 มิให้ถือเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะ
เว้นแต่กรณีที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานตามวรรคสาม ให้การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่กองทุนรวมใดกองทุนรวมหนึ่งในลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นการเสนอขายที่มิให้ถือเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะ
(1) กองทุนรวมนั้นมิได้จํากัดการเสนอขายหน่วยลงทุนเฉพาะแก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะ
(2) การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ให้กองทุนรวมนั้นเป็นไปตามข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างผู้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์กับบริษัทจัดการ โดยบริษัทจัดการดังกล่าวไม่ต้องใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจลงทุนในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายนั้นในระดับเดียวกับการบริหารกองทุนรวมทั่วไป และ
(3) มีการลงทุนของกองทุนรวมในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังนี้
(ก) ลงทุนในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายของบริษัทใดบริษัทหนึ่งในแต่ละครั้งมีมูลค่าเกินกว่าร้อยละห้าสิบของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมนั้น หรือ
(ข) ลงทุนในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของมูลค่ารวมของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่เสนอขายในแต่ละครั้ง”
ข้อ 6 ให้ยกเลิกความในข้อ 12 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 12 บริษัทที่ประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัดต้องยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงาน และจะได้รับอนุญาตต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) บริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
(ข) ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์เป็นสาขาเต็มรูปแบบในประเทศไทย หรือ
(ค) บริษัทประกันวินาศภัยหรือบริษัทประกันชีวิตต่างประเทศที่มีสาขาที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยหรือธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย
(2) ผู้ขออนุญาตต้องแสดงได้ว่าการออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1)(ก) หรือผู้มีอํานาจอนุมัติตามกฎหมายหรือข้อบังคับในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1)(ข) หรือ (ค)
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตตาม (1)(ก) มีหน้าที่จัดทําและส่งรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานตามมาตรา 56 หรือเป็นบริษัทจดทะเบียน และไม่เคยเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ หรือไม่มีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกโดยผู้ขออนุญาต คงค้างอยู่ในระยะเวลาสองปีก่อนยื่นคําขออนุญาต ผู้ขออนุญาตต้องแสดงได้ว่าการออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยในการมีมตินั้น ผู้ถือหุ้นได้รับทราบถึงความเสี่ยงที่จะเกิดจากการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และนโยบายในการบริหารความเสี่ยงดังกล่าวแล้วด้วย
(3) ผู้ขออนุญาตไม่เป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง ในกรณีเป็นการขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น”
ข้อ 7 ให้ยกเลิกความในวรรคสองและวรรคสามของข้อ 13 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“การอนุญาตตามหมวดนี้มีกําหนดระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่อนุญาต โดยในระยะเวลาดังกล่าว ผู้ได้รับอนุญาตสามารถเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่ได้รับอนุญาตตามหมวดนี้ได้หลายครั้ง
หากพ้นระยะเวลาตามวรรคสองแล้ว ให้การอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่นั้นเป็นอันสิ้นสุดลง”
ข้อ 8 ให้ยกเลิกความในข้อ 17 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 17 ผู้ได้รับอนุญาตตามหมวดนี้ ต้องดําเนินการเพื่อให้การเสนอขายและการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในทอดใด ๆ จะจํากัดอยู่ในกลุ่มผู้ลงทุนที่กําหนดในส่วนที่ 1 จนกว่าสิทธิเรียกร้องตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะระงับลง โดยอย่างน้อยต้องดําเนินการดังต่อไปนี้
(1) จดทะเบียนข้อจํากัดการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต่อสํานักงานในลักษณะที่แสดงได้ว่าการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะกระทําได้เฉพาะกรณีที่ผู้มีชื่อตามทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ภายหลังการลงทะเบียน มีลักษณะตามที่กําหนดในข้อ 10
(2) ตรวจสอบความถูกต้องของการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หากพบว่าเป็นการโอนที่จะขัดต่อข้อจํากัดการโอนตาม (1) ผู้ได้รับอนุญาตต้องไม่ลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้น เว้นแต่เป็นการโอนทางมรดก
ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตจัดให้มีนายทะเบียนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ผู้ได้รับอนุญาตต้องดําเนินการให้นายทะเบียนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในวรรคหนึ่งด้วย
(3) ไม่ทําการโฆษณาการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และหากจะมีการแจกจ่ายเอกสารประกอบการเสนอขาย บริษัทต้องแจกจ่ายให้เฉพาะบุคคลที่มีลักษณะหรือมีจํานวนอยู่ภายในขอบเขตที่กําหนดไว้ในข้อ 10(1) หรือ (2) และต้องระบุข้อความที่แสดงถึงข้อจํากัดดังกล่าวด้วย
(4) จัดให้มีข้อความที่อธิบายถึงลักษณะข้อจํากัดการโอนตาม (1) ในตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์”
ข้อ 9 ให้ยกเลิกความใน (2) ของข้อ 19 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(2) เอกสารประกอบการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (ถ้ามี)”
ข้อ 10 ให้ยกเลิกความในข้อ 19/1 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 65/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 19/1 นอกจากการรายงานตามมาตรา 81 แล้ว ให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงหรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ ยื่นรายงานผลการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าว แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานประกาศกําหนด”
ข้อ 11 ให้ยกเลิกความในข้อ 22 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 22 บริษัทที่ประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ต่อประชาชนต้องยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงาน โดยต้องจัดให้มีที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานเป็นผู้ร่วมจัดทําคําขออนุญาตดังกล่าว เว้นแต่ผู้ขออนุญาตนั้นเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าวอยู่แล้ว ทั้งนี้ ผู้ขออนุญาตจะได้รับอนุญาตก็ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) บริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
1. เป็นบริษัทหลักทรัพย์ แต่ไม่รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวมหรือเฉพาะประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล โดยบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวแสดงได้ว่า จะสามารถบริหารความเสี่ยงจากการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ขออนุญาตได้
2. เป็นบริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าห้าร้อยล้านบาทตามงบการเงินล่าสุดที่ผ่านการตรวจสอบหรือสอบทานจากผู้สอบบัญชีที่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวจะขออนุญาตได้เฉพาะกรณีเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวน
(ข) ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์เป็นสาขาเต็มรูปแบบในประเทศไทย หรือ
(ค) บริษัทประกันวินาศภัยหรือบริษัทประกันชีวิตต่างประเทศที่มีสาขาที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยหรือธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตามวรรคหนึ่ง (ข) หรือ (ค) ผู้ขออนุญาตต้องเป็นบริษัทซึ่งมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศที่มีหน่วยงานที่กํากับดูแลการเสนอขายหลักทรัพย์เป็นสมาชิกสามัญของ International Organization of Securities Commissions (IOSCO) หรือมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของ World Federation of Exchanges (WFE) และบริษัทมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ ฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทต่อสาธารณชนตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานหรือองค์การดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
(2) ผู้ขออนุญาตต้องแสดงได้ว่าการออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1)(ก) หรือผู้มีอํานาจอนุมัติตามกฎหมายหรือข้อบังคับในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1)(ข) หรือ (ค)
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตตาม (1)(ก) ซึ่งมีหน้าที่จัดทําและส่งรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานตามมาตรา 56 หรือเป็นบริษัทจดทะเบียน และไม่เคยเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ หรือไม่มีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกโดยผู้ขออนุญาต คงค้างอยู่ในระยะเวลาสองปีก่อนยื่นคําขออนุญาต ผู้ขออนุญาตต้องแสดงได้ว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้ออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ โดยในการมีมตินั้นผู้ถือหุ้นได้รับทราบถึงความเสี่ยงที่จะเกิดจากการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และนโยบายในการบริหารความเสี่ยงดังกล่าวแล้วด้วย
(3) ผู้ขออนุญาตไม่เป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงในกรณีเป็นการขอนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น
(4) มีผู้บริหารและผู้มีอํานาจควบคุมซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1)(ข) หรือ (ค) ผู้ขออนุญาตต้องมีผู้บริหารที่ดํารงตําแหน่งในสาขาในประเทศไทย ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง โดยอนุโลม
(5) ไม่มีประวัติการขาดความรับผิดชอบในการเป็นบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และไม่มีผู้บริหารที่เคยดํารงตําแหน่งเป็นผู้บริหารในบริษัทที่มีประวัติดังกล่าว”
ข้อ 12 ให้ยกเลิกความในข้อ 26 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 26 ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตเป็นบริษัทหลักทรัพย์ตามข้อ 22(1)(ก) 1. ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์ หากผู้ได้รับอนุญาตประสงค์จะทําหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง (market maker) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกโดยผู้ได้รับอนุญาตนั้นเอง ให้ผู้ได้รับอนุญาตมีหนังสือแจ้งให้สํานักงานทราบก่อนเริ่มทําการซื้อขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้นอย่างน้อยสามวันทําการ
ในการทําหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง เมื่อผู้ได้รับอนุญาตได้ซื้อใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ได้เสนอขายไปกลับคืนมา หากผู้ได้รับอนุญาตจะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้นออกไปอีก ให้ผู้ได้รับอนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่มีจํานวน ลักษณะ และเงื่อนไขเช่นเดียวกับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ซื้อกลับคืนมาได้ โดยถือว่าได้รับอนุญาตจากสํานักงานแล้ว และกรณีเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น ให้ถือว่าได้รับการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงจากสํานักงานแล้วด้วย”
ข้อ 13 ให้ยกเลิกความในข้อ 29 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 65/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ข้อ 30 และข้อ 31 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 29 การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นประเภทที่มิได้จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวน จะกระทําได้ต่อเมื่อผู้ได้รับอนุญาตมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ในวันที่เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
(1) เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่
(ก) ได้รับอนุญาตจากสํานักงานให้สามารถทําธุรกรรมด้านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของทรัพย์สิน หนี้สิน หรือภาระผูกพันที่บริษัทหลักทรัพย์มีอยู่หรือจะมีในอนาคตอันใกล้ ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ใช้บังคับแก่กรณี
(ข) มีเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิไม่น้อยกว่าสองร้อยล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละร้อยละเจ็ดของหนี้สินทั่วไป
(2) เป็นผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนหรือได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทตัวแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามกําหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(3) เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ได้ทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีข้อกําหนดและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวได้รับชําระหนี้จากคู่สัญญาในจํานวนและระยะเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกับจํานวนและระยะเวลาที่ต้องชําระหนี้ให้ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายนั้น (back to back agreement) ทั้งนี้ คู่สัญญาดังกล่าวต้องเป็นบุคคลตาม (1) หรือ (2) ซึ่งได้ระบุไว้ในคําขออนุญาตหรือได้แจ้งแก้ไขเพิ่มเติมให้สํานักงานทราบล่วงหน้าแล้วไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนการเสนอขาย
ข้อ 30 ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตมิได้เป็นบุคคลตามข้อ 29 ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายแต่ละครั้งต้องเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวนเท่านั้น
ข้อ 31 ผู้ได้รับอนุญาตต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในสี่อันดับสูงสุดโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน เว้นแต่ผู้ได้รับอนุญาตจัดให้มีการค้ําประกันในลักษณะดังต่อไปนี้ สําหรับการชําระหนี้ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขาย
(1) ผู้ค้ําประกันได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในสี่อันดับสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน
(2) การค้ําประกันมีผลบังคับให้ผู้ค้ําประกันต้องรับภาระชําระหนี้ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายเต็มจํานวน และรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ก่อนสิทธิเรียกร้องตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะระงับลง ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตต้องส่งร่างสัญญาค้ําประกันพร้อมทั้งความเห็นจากที่ปรึกษากฎหมายอิสระซึ่งให้ความเห็นว่าผลบังคับของร่างสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามที่กําหนดข้างต้นแล้ว ให้สํานักงานอย่างน้อยหนึ่งวันทําการก่อนการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในครั้งนั้นด้วย
ให้ถือว่าผู้ให้บริการจัดอันดับความน่าเชื่อถือภายใต้ชื่อ Standard & Poor, Moody’s หรือ Fitch หรือสถาบันอื่นใดที่สํานักงานประกาศกําหนดเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานแล้ว สําหรับกรณีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือผู้ได้รับอนุญาตที่เป็นบุคคลตามข้อ 22(1)(ข) หรือ (ค) หรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือผู้ค้ําประกัน ”
ข้อ 14 ให้ยกเลิกความใน (6) ของข้อ 32 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(6) ในกรณีที่เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินตามส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงหรือเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ ต้องมีข้อกําหนดว่าหากราคาของหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิงตามที่กําหนด ณ เวลาที่ครบกําหนดอายุของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์สูงกว่าราคาของหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิงที่กําหนดไว้ในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (in the money) บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวจะชําระเงินให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามวิธีและภายในเวลาที่กําหนดไว้ในข้อกําหนดสิทธิ ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะได้แสดงความจํานงในการใช้สิทธิหรือไม่”
ข้อ 15 ให้ยกเลิกความในข้อ 35/1 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 65/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 35/1 นอกจากการรายงานตามมาตรา 81 แล้ว ให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงหรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ ยื่นรายงานผลการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าว แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานประกาศกําหนด”
ข้อ 16 ให้ยกเลิกความในข้อ 37 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 37 ผู้ได้รับอนุญาตต้องดํารงลักษณะหรือดําเนินการดังต่อไปนี้ จนกว่าสิทธิเรียกร้องตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะระงับลง
(1) ดําเนินการให้มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตามข้อ 31
(2) ไม่เป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง ในกรณีที่เป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น
(3) ปฏิบัติตามเงื่อนไขการอนุญาตเกี่ยวกับการจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ การลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และการจ่ายผลประโยชน์ตามที่กําหนดในข้อกําหนดสิทธิ
(4) แจ้งการไม่สามารถดําเนินการตาม (1) (2) หรือ (3) ให้สํานักงานทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว”
ข้อ 17 ให้ยกเลิกความใน (9) ของข้อ 40 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(9) การดําเนินการของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในกรณีที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้แสดงความจํานงในการใช้สิทธิแล้ว แต่ยังไม่ปรากฏชื่อในทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นอ้างอิงของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้มีโอกาสออกเสียง ได้ซื้อหุ้นที่เป็นหุ้นเพิ่มทุน หรือได้รับเงินที่เป็นเงินปันผลหรือประโยชน์อื่นใด ที่เกิดจากหุ้นอ้างอิงในช่วงเวลาดังกล่าว”
ข้อ 18 ให้ยกเลิกความใน (2) ในข้อ 43 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(2) กําหนดให้การโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้มีชื่อแสดงว่าเป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนคนสุดท้ายได้ส่งมอบตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวต่อผู้รับโอนโดยลงลายมือชื่อสลักหลังแสดงการโอนตามมาตรา 53 และตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดใประกาศสํานักงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์และการลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์ โดยอนุโลม แต่ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตดําเนินการให้ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับกับหลักทรัพย์จดทะเบียน”
ข้อ 19 ให้ยกเลิกความใน (3) ข้อ 44 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(3) ข้อกําหนดที่ระบุว่าบริษัทที่ออกใบแสดงสิทธิอนุพันธ์จะดํารงทรัพย์สินที่ฝากไว้ในกรณีที่เป็นการออกใบแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน ตามสัดส่วนที่ระบุไว้ในการขออนุญาตตลอดจนกว่าสิทธิเรียกร้องตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะระงับลง และบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะไม่เรียกคืนทรัพย์สินดังกล่าวก่อนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจะระงับลงด้วย”
ข้อ 20 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2548
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,830 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 30/2552 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 30/2552
เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขาย
ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
(1) คําว่า “บริษัทใหญ่” “บริษัทย่อย” “บริษัทร่วม” “ผู้ที่เกี่ยวข้อง” “บริษัท” “ผู้ลงทุนสถาบัน” “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” และ “บริษัทจดทะเบียน” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามในประกาศเกี่ยวกับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์
(2) “ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นหรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์
(3) “ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น” หมายความว่า
(ก) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ให้สิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือใบแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัทอื่น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กําหนดไว้
(ข) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของราคาหุ้นหรือราคาใบแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัทอื่น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กําหนดไว้ กับราคาที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่ราคาของหุ้นหรือราคาของใบแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัทอื่น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(4) “ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์” หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของดัชนีหลักทรัพย์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กําหนดไว้ กับดัชนีหลักทรัพย์ที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ทั้งนี้เฉพาะในกรณีที่ดัชนีหลักทรัพย์ที่กําหนดไว้สูงกว่าดัชนีหลักทรัพย์ที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(5) “ใบแสดงสิทธิ” หมายความว่า ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงที่มีหลักทรัพย์รองรับเป็นหุ้น ตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยการเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยการเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย
(6) “หุ้นอ้างอิง” หมายความว่า
(ก) หุ้นหรือใบแสดงสิทธิรายการใดรายการหนึ่งหรือหลายรายการ ที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นตาม (3) (ก) มีสิทธิที่จะซื้อจากบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ
(ข) หุ้นหรือใบแสดงสิทธิรายการใดรายการหนึ่งหรือหลายรายการ ที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตาม (3) (ข) กําหนดให้ใช้ราคาหุ้นหรือราคาใบแสดงสิทธินั้นเป็นฐานในการคํานวณส่วนต่างของราคาหุ้นหรือราคาใบแสดงสิทธิเพื่อประโยชน์ในการกําหนดจํานวนเงินที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวมีสิทธิจะได้รับ
(7) “ดัชนีอ้างอิง” หมายความว่า ดัชนีที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์กําหนดให้ใช้ระดับของดัชนีนั้นเป็นฐานในการคํานวณส่วนต่างของดัชนีหลักทรัพย์เพื่อประโยชน์ในการกําหนดจํานวนเงินที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวมีสิทธิจะได้รับ
(8) “ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน” หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ผู้ขออนุญาตจะจัดให้มีการฝากทรัพย์สินไว้กับผู้รับฝากทรัพย์สินเสมือนเป็นประกันในการให้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้น
(9) “ข้อกําหนดสิทธิ” หมายความว่า ข้อกําหนดสิทธิและหน้าที่ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(10) “ผู้บริหาร” หมายความว่า ผู้จัดการ หรือผู้ดํารงตําแหน่งระดับบริหารสี่รายแรกนับต่อจากผู้จัดการลงมา ผู้ซึ่งดํารงตําแหน่งเทียบเท่ากับผู้ดํารงตําแหน่งระดับบริหารรายที่สี่ทุกราย และให้หมายความรวมถึงผู้ดํารงตําแหน่งระดับบริหารในสายงานบัญชีหรือการเงินที่เป็นระดับ ผู้จัดการฝ่ายขึ้นไปหรือเทียบเท่า
(11) “ผู้มีอํานาจควบคุม” หมายความว่า ผู้ถือหุ้นหรือบุคคลอื่นซึ่งโดยพฤติการณ์มีอิทธิพลต่อการกําหนดนโยบาย การจัดการ หรือการดําเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสําคัญ ไม่ว่าอิทธิพลดังกล่าวจะสืบเนื่องจากการเป็นผู้ถือหุ้น หรือได้รับมอบอํานาจตามสัญญา หรือการอื่นใดก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบุคคลที่เข้าลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังนี้
(ก) บุคคลที่มีสิทธิออกเสียงไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท
(ข) บุคคลที่ตามพฤติการณ์สามารถควบคุมการแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการของบริษัทนั้นได้
(ค) บุคคลที่ตามพฤติการณ์สามารถควบคุมผู้ซึ่งรับผิดชอบในการกําหนดนโยบาย การจัดการหรือการดําเนินงานของบริษัทให้ปฏิบัติตามคําสั่งของตนในการกําหนดนโยบาย การจัดการหรือการดําเนินงานของบริษัท
(ง) บุคคลที่ตามพฤติการณ์มีการดําเนินงานในบริษัทหรือมีความรับผิดชอบในการดําเนินงานของบริษัทเยี่ยงกรรมการหรือผู้บริหาร รวมทั้งบุคคลที่มีตําแหน่งซึ่งมีอํานาจหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลดังกล่าวของบริษัทนั้น
(12) “บุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง” หมายความว่า บุคคลที่อยู่ในฐานะที่อาจมีโอกาสล่วงรู้ข้อมูลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงอันเนื่องมาจากการมีโครงสร้างการถือหุ้นหรือโครงสร้างการจัดการร่วมกับบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย
(ก) ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงนั้น
(ข) มีบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงเป็นผู้ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด
(ค) มีผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมรวมกันเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกับผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง
(ง) มีกรรมการหรือผู้บริหารเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกับกรรมการที่มีอํานาจลงนามผูกพันหรือผู้บริหารของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง
(จ) มีโครงสร้างการถือหุ้นหรือการจัดการในลักษณะอื่นใดที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ที่ประสงค์จะยื่นคําขออนุญาตมีอํานาจควบคุมบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง หรือมีบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงเป็นผู้มีอํานาจควบคุม หรือมีผู้มีอํานาจควบคุมเป็นบุคคลเดียวกับผู้มีอํานาจควบคุมบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง
การนับรวมจํานวนหุ้นตาม (ก) (ข) หรือ (ค) ให้นับรวมหุ้นที่ถือโดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าวด้วย และในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นนิติบุคคล ให้นับรวมการถือหุ้นของกรรมการและผู้บริหารในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ของนิติบุคคลดังกล่าวด้วย
ข้อ ๓ เว้นแต่กรณีตามข้อ 4 การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ให้เป็นไปตามตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น ผู้ขออนุญาตต้องดําเนินการดังนี้
(ก) ยื่นคําขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่สําหรับ
การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นอ้างอิงใดหุ้นอ้างอิงหนึ่ง และให้การอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในหมวด 1 สําหรับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัด หรือหมวด 2 สําหรับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ต่อประชาชน ตามแต่กรณี ซึ่งการอนุญาตดังกล่าวจะมีผลให้ผู้ได้รับอนุญาตสามารถเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ในหุ้นอ้างอิงนั้นได้หลายครั้งภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับจากวันที่ได้รับอนุญาต
(ข) ก่อนการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นแต่ละครั้ง ผู้ได้รับอนุญาตตาม (ก) ต้องยื่นคําขอตรวจสอบการใช้หุ้นอ้างอิงต่อสํานักงานเพื่อขอยืนยันว่าในขณะที่ประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น จํานวนและลักษณะของหุ้นอ้างอิงดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในหมวด 3
ในกรณีที่เป็นการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่ให้สิทธิที่จะซื้อใบแสดงสิทธิ หรือให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของราคาใบแสดงสิทธิ ข้อกําหนดเรื่องบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงในข้อ 14(3) ข้อ 25(3) และข้อ 41(2) ให้พิจารณาถึงบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นที่ใช้เพื่อรองรับใบแสดงสิทธิแทน และข้อกําหนดเรื่องการจัดทําบทวิเคราะห์เผยแพร่แก่บุคคลทั่วไปเกี่ยวกับความเหมาะสมในการลงทุนหรือราคาของหุ้นอ้างอิงในข้อ 31(2) ให้พิจารณารวมถึงหุ้นที่ใช้เพื่อรองรับใบแสดงสิทธิด้วย
(2) ในกรณีการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ ผู้ขออนุญาตต้องดําเนินการ ดังนี้
(ก) ยื่นคําขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่สําหรับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ และให้การอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในหมวด 1 สําหรับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัด หรือหมวด 2 สําหรับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ต่อประชาชน ตามแต่กรณี
ซึ่งการอนุญาตดังกล่าวจะมีผลให้ผู้ได้รับอนุญาตสามารถเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ที่กําหนดตาม (ข) ได้หลายครั้งภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับจากวันที่ได้รับอนุญาต
(ข) ผู้ได้รับอนุญาตตาม (ก) จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ได้เฉพาะกรณีที่ดัชนีอ้างอิงเป็นดัชนีหลักทรัพย์ใดดัชนีหลักทรัพย์หนึ่ง ดังนี้
1. SET INDEX หรือ SET 50 INDEX ที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศกําหนด
2. ดัชนีหลักทรัพย์อื่นที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๔ คําขออนุญาตตามข้อ 3 และข้อ 4 ให้เป็นไปตามแบบและให้มีเอกสารหลักฐานตามที่สํานักงานกําหนด
ข้อ ๕ คําขออนุญาตตามข้อ 3 และข้อ 4 ให้เป็นไปตามแบบและให้มีเอกสารหลักฐานตามที่สํานักงานกําหนด
ข้อ ๖ ให้ผู้ขออนุญาตชําระค่าธรรมเนียมคําขออนุญาตต่อสํานักงานตามอัตราที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ และการขออนุมัติโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
ข้อ ๗ ในการพิจารณาคําขออนุญาต ให้สํานักงานมีอํานาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ขออนุญาตมาชี้แจง หรือส่งเอกสารหลักฐานอื่นเพิ่มเติมได้ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตไม่มาชี้แจง หรือไม่ส่งเอกสารหลักฐานภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ให้ถือว่าผู้ขออนุญาตไม่ประสงค์จะขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่นั้นอีกต่อไป
ข้อ ๘ ในการพิจารณาว่าคําขออนุญาตใดมีลักษณะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่กําหนดไว้ในประกาศนี้หรือไม่ ให้สํานักงานมีอํานาจดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตหรือการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์มีลักษณะหรือรูปแบบเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะได้รับอนุญาตตามประกาศนี้ แต่มีข้อเท็จจริงซึ่งทําให้พิจารณาได้ว่า ความมุ่งหมายหรือเนื้อหาสาระที่แท้จริง (substance) ของการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้น เข้าลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือประกาศนี้ สํานักงานอาจไม่อนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามคําขออนุญาตได้ ทั้งนี้ สํานักงานต้องแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบถึงเหตุผลประกอบการพิจารณาอย่างชัดเจน
(2) ในกรณีที่เข้าลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ สํานักงานอาจผ่อนผันไม่นําหลักเกณฑ์ตามประกาศนี้มาใช้พิจารณาคําขออนุญาต หรือไม่นําเงื่อนไขตามประกาศนี้มาใช้บังคับกับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ได้รับอนุญาตได้ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมและความเพียงพอของข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนและมาตรการคุ้มครองผู้ลงทุนเป็นสําคัญ ทั้งนี้ สํานักงานอาจกําหนดเงื่อนไขให้ผู้ขออนุญาตต้องปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยก็ได้
(ก) ประโยชน์ที่จะได้จากการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผันให้ ไม่คุ้มค่ากับต้นทุนของผู้ขออนุญาตในการปฏิบัติ และมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนซึ่งทําให้พิจารณาได้ว่าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังกล่าว ไม่มีนัยสําคัญสําหรับการพิจารณาอนุญาตในกรณีนั้น
(ข) ผู้ขออนุญาตมีข้อจํากัดตามกฎหมายอื่นที่ทําให้ไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผัน
(ค) ผู้ขออนุญาตมีมาตรการอื่นที่เพียงพอ และสามารถทดแทนการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะผ่อนผัน
ข้อ ๙ ในกรณีเป็นการขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น สํานักงานสามารถผ่อนผันข้อกําหนดที่ห้ามมิให้ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงตามข้อ 14(3) ข้อ 25(3) และข้อ 41(2) เมื่อไม่มีเหตุให้สงสัยว่าการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการเอาเปรียบผู้ลงทุน และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายต้องเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่ให้สิทธิในการซื้อหุ้นอ้างอิงเพียงประการเดียว
(2) ผู้ขออนุญาตมีความผูกพันตามข้อกําหนดสิทธิในการจัดให้มีหุ้นอ้างอิงรองรับการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เต็มจํานวน และ
(3) ผู้ขออนุญาตไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหารายได้จากการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าว เช่น เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ควบคู่กับหลักทรัพย์ประเภทอื่น เป็นต้น
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่ฝากต้องเป็นหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่งดังต่อไปนี้
(1) หุ้นอ้างอิง
(2) หุ้นกู้แปลงสภาพที่ให้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นอ้างอิง และหุ้นอ้างอิงดังกล่าวเป็นหุ้นที่ออกใหม่โดยบริษัทที่ออกหุ้นกู้แปลงสภาพนั้นเอง หรือ
(3) ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ ซึ่งให้สิทธิที่จะซื้อหุ้นอ้างอิงซึ่งเป็นหุ้นที่ออกใหม่โดยบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ดังกล่าว รวมกับจํานวนเงินที่จะชําระเป็นค่าซื้อหุ้นอ้างอิงตามสิทธิดังกล่าว
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่มีเหตุที่ระบุในข้อกําหนดสิทธิ อันเป็นผลให้ผู้ได้รับอนุญาตต้องออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ให้ถือว่าใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่นั้นได้รับอนุญาตจากสํานักงานแล้ว และกรณีที่เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น ให้ถือว่าได้รับการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงจากสํานักงานแล้วด้วย ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตต้องแจ้งเป็นหนังสือให้สํานักงานทราบภายในสามวันทําการนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว
หมวด ๑ การอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
แก่บุคคลในวงจํากัด
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ส่วน ๑ ลักษณะของการเสนอขายที่เข้าข่ายเป็นการเสนอขาย
แก่บุคคลในวงจํากัด
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๑๒ การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัดตามหมวดนี้ ต้องเป็นการเสนอขายที่เข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) การเสนอขายแก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงซึ่งไม่ทําให้มีจํานวนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ณ ขณะใดขณะหนึ่งเมื่อนับรวมกับจํานวนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในกรณีดังกล่าวทุกลักษณะที่ออกโดยบริษัท มีจํานวนเกินกว่าสามสิบห้าราย
(2) เป็นการเสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน
การนับจํานวนผู้ลงทุนตามวรรคหนึ่ง (1) ไม่นับรวมผู้ลงทุนในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่เพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูกิจการหรือปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายตามหมวด 4
การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัดตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึงการเสนอขายหลักทรัพย์ดังกล่าวให้แก่บุคคลใด ๆ ซึ่งมีข้อตกลงกับผู้ขออนุญาตไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย ในการนําใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ซื้อนั้นไปเสนอขายอีกทอดหนึ่งแก่บุคคลที่มิได้มีลักษณะตามวรรคหนึ่ง หรือเพื่อไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๑๓ การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่กองทุนรวมใดกองทุนรวมหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นหรือมีการลงทุนในลักษณะที่เป็นเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ตามหมวด 2 มิให้ถือเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่ผู้ลงทุนสถาบัน
เว้นแต่กรณีที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานตามวรรคสาม ให้การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่กองทุนรวมใดกองทุนรวมหนึ่งในลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นการเสนอขายที่มิให้ถือเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่ผู้ลงทุนสถาบัน
(1) กองทุนรวมนั้นมิได้จํากัดการเสนอขายหน่วยลงทุนเฉพาะแก่ผู้ลงทุนสถาบัน
(2) การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ให้กองทุนรวมนั้นเป็นไปตามข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างผู้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์กับบริษัทจัดการ โดยบริษัทจัดการดังกล่าวไม่ต้องใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจลงทุนในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายนั้นในระดับเดียวกับการบริหารกองทุนรวมทั่วไป และ
(3) มีการลงทุนของกองทุนรวมในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังนี้
(ก) ลงทุนในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ในแต่ละครั้งมีมูลค่าเกินกว่าร้อยละห้าสิบของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมนั้น หรือ
(ข) ลงทุนในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของมูลค่ารวมของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่เสนอขายในแต่ละครั้ง
ในกรณีที่ผู้เสนอขายประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่กองทุนรวมที่มีลักษณะตามที่กําหนดในวรรคสอง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้การเสนอขาย
ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่กองทุนรวมนั้นเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์แก่ผู้ลงทุนสถาบัน ให้ผู้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ดังกล่าวยื่นคําขอความเห็นชอบต่อสํานักงานพร้อมทั้งคําชี้แจงและเอกสารหลักฐาน และให้สํานักงานมีอํานาจให้ความเห็นชอบให้ผู้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์สามารถเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่กองทุนรวมในฐานะเป็นผู้ลงทุนสถาบันในครั้งนั้นได้
เพื่อประโยชน์ตามความในข้อนี้
“กองทุนรวม” หมายความว่า กองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ซึ่งจัดการโดยบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
“บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
ส่วน ๒ หลักเกณฑ์การอนุญาต
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๑๔ บริษัทที่ประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัดต้องยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงาน และจะได้รับอนุญาตต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) บริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
(ข) ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์เป็นสาขาเต็มรูปแบบในประเทศไทย หรือ
(ค) บริษัทประกันวินาศภัยหรือบริษัทประกันชีวิตต่างประเทศที่มีสาขาที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยหรือธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย
(2) ผู้ขออนุญาตต้องแสดงได้ว่าการออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1) (ก) หรือผู้มีอํานาจอนุมัติตามกฎหมายหรือข้อบังคับในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1) (ข) หรือ (ค)
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตตาม (1) (ก) มีหน้าที่จัดทําและส่งรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานตามมาตรา 56 หรือเป็นบริษัทจดทะเบียน และไม่เคยเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ หรือไม่มีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกโดยผู้ขออนุญาต คงค้างอยู่ในระยะเวลาสองปีก่อนยื่นคําขออนุญาต ผู้ขออนุญาตต้องแสดงได้ว่าการออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยในการมีมตินั้น ผู้ถือหุ้นได้รับทราบถึงความเสี่ยงที่จะเกิดจากการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และนโยบายในการบริหารความเสี่ยงดังกล่าวแล้วด้วย
(3) ผู้ขออนุญาตไม่เป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง ในกรณีเป็นการขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น
ข้อ ๑๕ ให้สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตตามหมวดนี้ให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในเจ็ดวันทําการนับแต่วันที่ได้รับคําขออนุญาตพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน หากสํานักงานไม่แจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้ขออนุญาตนั้นได้รับอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัดได้ในวันถัดจากวันที่ครบกําหนดเจ็ดวันทําการนับแต่วันที่ได้รับคําขออนุญาตนั้น
การอนุญาตตามหมวดนี้มีกําหนดระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่อนุญาต โดยในระยะเวลาดังกล่าว ผู้ได้รับอนุญาตสามารถเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่ได้รับอนุญาตตามหมวดนี้ได้หลายครั้ง
หากพ้นระยะเวลาตามวรรคสองแล้ว ให้การอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่นั้นเป็นอันสิ้นสุดลง
ในระหว่างระยะเวลาการได้รับอนุญาตตามวรรคสอง หากผู้ได้รับอนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามที่กําหนดในข้อ 14 หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดในข้อ 16 หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภายหลังการอนุญาตที่กําหนดตามส่วนที่ 3 ของหมวดนี้ ให้ผู้ได้รับอนุญาตแจ้งกรณีดังกล่าวให้สํานักงานทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว หากผู้ได้รับอนุญาตไม่แจ้งเหตุดังกล่าวต่อสํานักงานภายในกําหนดเวลาข้างต้นหรือไม่สามารถแก้ไขให้มีลักษณะเป็นไปตามที่กําหนดได้ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ให้สํานักงานมีอํานาจเพิกถอนการอนุญาตนั้นหรือสั่งระงับการอนุญาตเป็นการชั่วคราวจนกว่าผู้ได้รับอนุญาตจะแก้ไขลักษณะให้เป็นไปตามหมวดนี้แล้ว
ข้อ ๑๖ ในกรณีเป็นการได้รับอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นก่อนการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่ได้รับอนุญาตในแต่ละครั้ง ผู้ได้รับอนุญาตต้องยื่นคําขอตรวจสอบการใช้หุ้นอ้างอิงและได้รับการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงตามหมวด 3 ด้วย มิฉะนั้น การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในครั้งนั้นจะเข้าข่ายเป็นการเสนอขายโดยมิได้รับอนุญาตจากสํานักงาน
ส่วน ๓ เงื่อนไขภายหลังการอนุญาต
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๑๗ ผู้ได้รับอนุญาตต้องจัดให้ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกในแต่ละครั้งมีสิทธิและเงื่อนไขตามที่กําหนดในข้อกําหนดสิทธิ โดยต้องมีการกําหนดสิทธิและเงื่อนไขอย่างน้อยในลักษณะดังต่อไปนี้ด้วย
(1) จัดให้มีชื่อเฉพาะสําหรับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกในแต่ละครั้งเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง โดยต้องแสดงให้ทราบถึงชื่อหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิงไว้ในชื่อดังกล่าวด้วย
(2) เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ซึ่งผู้ที่จะสามารถใช้สิทธิและได้รับประโยชน์ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่อปรากฏเป็นผู้ถือในทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เท่านั้น
(3) มีอายุไม่เกินสองปีนับแต่วันที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เว้นแต่กรณีที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายตามเงื่อนไขที่ระบุในข้อกําหนดสิทธิ (ถ้ามี)
(4) ในกรณีที่เป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวน ต้องมีข้อกําหนดว่าเมื่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ใช้สิทธิ บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิงให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(5) ในกรณีที่เป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่มีเงื่อนไขว่าบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิง ต้องมีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หากบริษัทไม่สามารถส่งมอบหุ้นอ้างอิงได้เมื่อมีการใช้สิทธิ ทั้งนี้ ค่าเสียหายดังกล่าวต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่าส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ กับราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนดไว้ในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ บวกด้วยค่าปรับซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละสามของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ
(6) มีการกําหนดวิธีการในการจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์อย่างน้อยในลักษณะดังต่อไปนี้
(ก) มีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จัดให้มีทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(ข) กําหนดให้การโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้มีชื่อแสดงว่าเป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนคนสุดท้ายได้ส่งมอบตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวต่อผู้รับโอน โดยลงลายมือชื่อสลักหลังแสดงการโอนตามมาตรา 53 และตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์และการลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์ โดยอนุโลม
นอกจากรายการตามวรรคหนึ่ง ข้อกําหนดสิทธิต้องมีรายการอย่างน้อยตามที่กําหนดในมาตรา 42 โดยอนุโลม
ข้อ ๑๘ ผู้ได้รับอนุญาตต้องจัดให้มีตราสารกํากับ (certificate) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่มีรายการอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(1) ชื่อเฉพาะของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(2) ลักษณะของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ โดยให้ระบุว่าเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ หรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น และในกรณีที่เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน ก็ให้ระบุประเภทของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เช่นนั้นไว้ รวมทั้งระบุสัดส่วนของทรัพย์สินที่ฝากด้วย
(3) ชื่อของหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิง
(4) ชื่อบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(5) จํานวนหน่วยที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์มีสิทธิ
(6) ชื่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(7) เลขที่อ้างอิงของผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(8) วัน เดือน ปีที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และวัน เดือน ปีที่สิ้นสุดของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(9) การชําระหนี้ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เมื่อมีการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ซึ่งต้องระบุอย่างชัดเจนว่าจะชําระหนี้โดยการส่งมอบเงินสดหรือหุ้นอ้างอิง
(10) มีข้อความที่ระบุว่าใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นี้ออกตามสิทธิและเงื่อนไขที่กําหนดตามข้อกําหนดสิทธิซึ่งบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้จัดทําขึ้นและถือเป็นข้อตกลงผูกพันระหว่างบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์กับผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ทั้งนี้ ต้องระบุด้วยว่าผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์สามารถขอตรวจดูข้อกําหนดสิทธิดังกล่าวได้ที่ใด
(11) ลายมือชื่อผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์
ข้อ ๑๙ ผู้ได้รับอนุญาตตามหมวดนี้ ต้องดําเนินการเพื่อให้การเสนอขายและการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในทอดใด ๆ จะจํากัดอยู่ในกลุ่มผู้ลงทุนที่กําหนดในส่วนที่ 1 จนกว่าสิทธิเรียกร้องตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะระงับลง โดยอย่างน้อยต้องดําเนินการดังต่อไปนี้
(1) จดทะเบียนข้อจํากัดการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต่อสํานักงานในลักษณะที่แสดงได้ว่าการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะกระทําได้เฉพาะกรณีที่ผู้มีชื่อตามทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ภายหลังการลงทะเบียน มีลักษณะตามที่กําหนดในข้อ 12
(2) ตรวจสอบความถูกต้องของการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หากพบว่าเป็นการโอนที่จะขัดต่อข้อจํากัดการโอนตาม (1) ผู้ได้รับอนุญาตต้องไม่ลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้น เว้นแต่เป็นการโอนทางมรดก
ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตจัดให้มีนายทะเบียนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ผู้ได้รับอนุญาตต้องดําเนินการให้นายทะเบียนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในวรรคหนึ่งด้วย
(3) ไม่ทําการโฆษณาการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และหากจะมีการแจกจ่ายเอกสารประกอบการเสนอขาย บริษัทต้องแจกจ่ายให้เฉพาะบุคคลที่มีลักษณะหรือมีจํานวนอยู่ภายในขอบเขตที่กําหนดไว้ในข้อ 12(1) หรือ (2) และต้องระบุข้อความที่แสดงถึงข้อจํากัดดังกล่าวด้วย
(4) จัดให้มีข้อความที่อธิบายถึงลักษณะข้อจํากัดการโอนตาม (1) ในตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
ข้อ ๒๐ ผู้ได้รับอนุญาตต้องจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่กําหนดในข้อกําหนดสิทธิ
ข้อ ๒๑ ให้ผู้ได้รับอนุญาตจัดส่งเอกสารดังต่อไปนี้ให้สํานักงานจํานวนหนึ่งชุด พร้อมกับการรายงานผลการขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(1) ตัวอย่างตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(2) เอกสารประกอบการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (ถ้ามี)
(3) ในกรณีที่มีการแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นนายทะเบียนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
ให้จัดส่งหนังสือของนายทะเบียนที่แสดงว่าบุคคลดังกล่าว
(ก) ยอมรับการแต่งตั้งเป็นนายทะเบียน
(ข) รับทราบข้อจํากัดการโอน และรับรองว่าจะปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์และการลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์
(4) สําเนาข้อกําหนดสิทธิที่มีการรับรองความถูกต้องโดยผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของผู้ได้รับอนุญาต
ข้อ ๒๒ นอกจากการรายงานตามมาตรา 81 แล้ว ให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงหรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ ยื่นรายงานผลการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าว แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๒๓ ในกรณีที่มีการชดใช้ค่าเสียหายแทนการชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิง ให้ผู้ได้รับอนุญาตแจ้งเป็นหนังสือให้สํานักงานทราบภายในสามวันทําการนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว
ข้อ ๒๔ ในกรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิ ให้ผู้ได้รับอนุญาตส่งสําเนาข้อกําหนดสิทธิส่วนที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงที่มีการรับรองความถูกต้องโดยผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของผู้ได้รับอนุญาตต่อสํานักงานภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิ
หมวด ๒ การอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
ต่อประชาชน
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ส่วน ๑ หลักเกณฑ์การอนุญาต
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๒๕ บริษัทที่ประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ต่อประชาชนต้องยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงาน โดยต้องจัดให้มีที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีที่สํานักงานให้ความเห็นชอบเป็นผู้ร่วมจัดทําคําขออนุญาตดังกล่าว เว้นแต่ผู้ขออนุญาตนั้นเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าวอยู่แล้ว ทั้งนี้ ผู้ขออนุญาตจะได้รับอนุญาตก็ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) บริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
1. เป็นบริษัทหลักทรัพย์ แต่ไม่รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวมหรือเฉพาะประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล โดยบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวแสดงได้ว่าจะสามารถบริหารความเสี่ยงจากการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ขออนุญาตได้
2. เป็นบริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าห้าร้อยล้านบาทตามงบการเงินล่าสุดที่ผ่านการตรวจสอบหรือสอบทานจากผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวจะขออนุญาตได้เฉพาะกรณีเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวน
(ข) ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์เป็นสาขาเต็มรูปแบบในประเทศไทย หรือ
(ค) บริษัทประกันวินาศภัยหรือบริษัทประกันชีวิตต่างประเทศที่มีสาขาที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยหรือธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตามวรรคหนึ่ง (ข) หรือ (ค) ผู้ขออนุญาตต้องเป็นบริษัทซึ่งมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศที่มีหน่วยงานที่กํากับดูแลการเสนอขายหลักทรัพย์เป็นสมาชิกสามัญของ International Organization of Securities Commissions (IOSCO) หรือมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของ World Federation of Exchanges (WFE) และบริษัทมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ ฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทต่อสาธารณชนตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานหรือองค์การดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
(2) ผู้ขออนุญาตต้องแสดงได้ว่าการออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
ที่ออกใหม่ ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1) (ก) หรือผู้มีอํานาจอนุมัติตามกฎหมายหรือข้อบังคับในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1) (ข) หรือ (ค)
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตตาม (1) (ก) ซึ่งมีหน้าที่จัดทําและส่งรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานตามมาตรา 56 หรือเป็นบริษัทจดทะเบียน และไม่เคยเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ หรือไม่มีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกโดยผู้ขออนุญาต คงค้างอยู่ในระยะเวลาสองปีก่อนยื่นคําขออนุญาต ผู้ขออนุญาตต้องแสดงได้ว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้ออกและเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ โดยในการมีมตินั้นผู้ถือหุ้นได้รับทราบถึงความเสี่ยงที่จะเกิดจากการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และนโยบายในการบริหารความเสี่ยงดังกล่าวแล้วด้วย
(3) ผู้ขออนุญาตไม่เป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง ในกรณีเป็นการขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น
(4) (ก) มีกรรมการและผู้บริหารที่เป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในระบบข้อมูลรายชื่อกรรมการและผู้บริหารตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์
(ข) มีผู้มีอํานาจควบคุมที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ โดยอนุโลม
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลตาม (1) (ข) หรือ (ค) ผู้ขออนุญาตต้องมีกรรมการและผู้บริหารที่ดํารงตําแหน่งในสาขาในประเทศไทย เป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในระบบข้อมูลรายชื่อกรรมการและผู้บริหารตามประกาศที่กําหนดในวรรคหนึ่ง (ก)
(5) ไม่มีประวัติการขาดความรับผิดชอบในการเป็นบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และไม่มีกรรมการและผู้บริหารที่เคยดํารงตําแหน่งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่มีประวัติดังกล่าว
ข้อ ๒๖ ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามข้อ 25(4) (ข) หรือ (5) หากสํานักงานเห็นว่าเหตุดังกล่าวเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงหรือได้มีการแก้ไขหรือกําหนดมาตรการป้องกันแล้ว สํานักงานอาจไม่นําเหตุดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาก็ได้
ข้อ ๒๗ ให้สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตตามหมวดนี้ให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําขออนุญาตพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน
การอนุญาตตามหมวดนี้มีกําหนดระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่อนุญาต โดยในระยะเวลาดังกล่าว ผู้ได้รับอนุญาตสามารถเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ในหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิงที่ได้รับอนุญาตได้หลายครั้ง และอาจเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่นั้นต่อประชาชนตามหมวดนี้หรือแก่บุคคลในวงจํากัดตามหมวด 1 ก็ได้ โดยไม่ต้องยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงานอีก แต่ในกรณีการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามหมวด 1 ผู้ได้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขภายหลังการอนุญาตที่กําหนดตามส่วนที่ 3 ของหมวด 1 ด้วย
หากพ้นระยะเวลาตามวรรคสองแล้ว ให้การอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ในหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิงนั้นเป็นอันสิ้นสุดลง
ในระหว่างระยะเวลาการได้รับอนุญาตตามวรรคสอง หากผู้ได้รับอนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามที่กําหนดในข้อ 25 หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดเพื่อให้การอนุญาตมีผลสมบูรณ์ที่กําหนดตามส่วนที่ 2 หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภายหลังการอนุญาตที่กําหนดตามส่วนที่ 3 ของหมวดนี้ ให้ผู้ได้รับอนุญาตแจ้งกรณีดังกล่าวให้สํานักงานทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว หากผู้ได้รับอนุญาตไม่แจ้งเหตุดังกล่าวต่อสํานักงานภายในกําหนดเวลาข้างต้น หรือไม่สามารถแก้ไขให้มีลักษณะเป็นไปตามที่กําหนดได้ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด ให้สํานักงานมีอํานาจเพิกถอนการอนุญาตนั้นหรือสั่งระงับการอนุญาตเป็นการชั่วคราวจนกว่าผู้ได้รับอนุญาตจะแก้ไขลักษณะให้เป็นไปตามหมวดนี้แล้ว
ข้อ ๒๘ ในกรณีที่สํานักงานไม่อนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่เนื่องจากผู้ขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในข้อ 25(4) (ข) หรือ (5) ในการแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาต ให้สํานักงานมีอํานาจกําหนดระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการพิจารณาคําขออนุญาตในคราวต่อไป โดยคํานึงถึงความร้ายแรงของข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นการกําหนดระยะเวลา ระยะเวลาดังกล่าวต้องไม่เกินสิบห้าปีนับแต่วันที่สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตต่อผู้ขออนุญาต
เมื่อพ้นระยะเวลาที่สํานักงานกําหนดตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อผู้ขออนุญาตได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สํานักงานกําหนดแล้ว มิให้สํานักงานนําข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการสั่งการตามวรรคหนึ่งมาประกอบการพิจารณาคําขอในครั้งใหม่อีก
ในกรณีที่สํานักงานเห็นว่าเหตุที่ทําให้ผู้ยื่นคําขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามข้อ 25(4) (ข) หรือ (5) เป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงหรือได้มีการแก้ไขหรือกําหนดมาตรการป้องกันแล้วสํานักงานอาจไม่นําข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขาดคุณลักษณะดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาก็ได้
ข้อ ๒๙ ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตเป็นบริษัทหลักทรัพย์ตามข้อ 25(1) (ก) 1. ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์ หากผู้ได้รับอนุญาตประสงค์จะทําหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง (market maker) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกโดยผู้ได้รับอนุญาตนั้นเอง ให้ผู้ได้รับอนุญาตมีหนังสือแจ้งให้สํานักงานทราบก่อนเริ่มทําการซื้อขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้นอย่างน้อยสามวันทําการ
ในการทําหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง เมื่อผู้ได้รับอนุญาตได้ซื้อใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ได้เสนอขายไปกลับคืนมา หากผู้ได้รับอนุญาตจะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นั้นออกไปอีก ให้ผู้ได้รับอนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
ที่มีจํานวน ลักษณะ และเงื่อนไขเช่นเดียวกับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ซื้อกลับคืนมาได้ โดยถือว่าได้รับอนุญาตจากสํานักงานแล้ว และกรณีเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น ให้ถือว่าได้รับการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงจากสํานักงานแล้วด้วย
ส่วน ๒ ข้อกําหนดเพื่อให้การอนุญาตมีผลสมบูรณ์
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๓๐ ให้ผู้ได้รับอนุญาตตามหมวดนี้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กําหนดในส่วนนี้ มิฉะนั้นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในครั้งนั้นจะเข้าข่ายเป็นการเสนอขายโดยมิได้รับอนุญาตจากสํานักงาน
ข้อ ๓๑ ในกรณีเป็นการได้รับอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นก่อนการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่ได้รับอนุญาตในแต่ละครั้ง ผู้ได้รับอนุญาตต้องดําเนินการดังนี้
(1) ยื่นคําขอตรวจสอบการใช้หุ้นอ้างอิงตามหมวด 3
(2) มีหนังสือเพื่อรับรองต่อสํานักงานพร้อมการยื่นคําขอตรวจสอบตาม (1) ว่าในระยะเวลาสองสัปดาห์ก่อนการยื่นคําขอตรวจสอบต่อสํานักงาน ผู้ได้รับอนุญาต บริษัทใหญ่ บริษัทย่อย และผู้ที่เกี่ยวข้องของผู้ได้รับอนุญาต ไม่มีการจัดทําบทวิเคราะห์เผยแพร่แก่บุคคลทั่วไปเกี่ยวกับความเหมาะสมในการลงทุนหรือราคาของหุ้นอ้างอิง
ข้อ ๓๒ การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นประเภทที่มิได้จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวน จะกระทําได้ต่อเมื่อผู้ได้รับอนุญาตมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ในวันที่เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
(1) เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่
(ก) ได้รับอนุญาตจากสํานักงานให้สามารถทําธุรกรรมด้านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของทรัพย์สิน หนี้สิน หรือภาระผูกพันที่บริษัทหลักทรัพย์มีอยู่หรือจะมีในอนาคตอันใกล้ ตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนที่ใช้บังคับแก่กรณี
(ข) มีเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิไม่น้อยกว่าสองร้อยล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดของหนี้สินทั่วไป
(2) เป็นผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนหรือได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(3) เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ได้ทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีข้อกําหนดและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวได้รับชําระหนี้จากคู่สัญญาในจํานวนและระยะเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกับจํานวนและระยะเวลาที่ต้องชําระหนี้ให้ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายนั้น (back to back agreement) ทั้งนี้ คู่สัญญาดังกล่าวต้องเป็นบุคคลตาม (1) หรือ (2) ซึ่งได้ระบุไว้ในคําขออนุญาตหรือได้แจ้งแก้ไขเพิ่มเติมให้สํานักงานทราบล่วงหน้าแล้วไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนการเสนอขาย
ข้อ ๓๓ ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตมิได้เป็นบุคคลตามข้อ 32 ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายแต่ละครั้งต้องเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน
เต็มจํานวนเท่านั้น
ข้อ ๓๔ ผู้ได้รับอนุญาตต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในสี่อันดับสูงสุดโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน เว้นแต่ผู้ได้รับอนุญาตจัดให้มีการค้ําประกันในลักษณะดังต่อไปนี้ สําหรับการชําระหนี้ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขาย
(1) ผู้ค้ําประกันได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในสี่อันดับสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน
(2) การค้ําประกันมีผลบังคับให้ผู้ค้ําประกันต้องรับภาระชําระหนี้ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขายเต็มจํานวน และรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ก่อนสิทธิเรียกร้องตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะระงับลง ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตต้องส่งร่างสัญญาค้ําประกันพร้อมทั้งความเห็นจากที่ปรึกษากฎหมายอิสระซึ่งให้ความเห็นว่าผลบังคับของร่างสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามที่กําหนดข้างต้นแล้ว ให้สํานักงานอย่างน้อยหนึ่งวันทําการก่อนการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในครั้งนั้นด้วย
ส่วน ๓ เงื่อนไขภายหลังการอนุญาต
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๓๕ ผู้ได้รับอนุญาตต้องจัดให้ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกในแต่ละครั้งมีสิทธิและเงื่อนไขตามที่กําหนดในข้อกําหนดสิทธิ โดยต้องมีการกําหนดสิทธิและเงื่อนไขอย่างน้อยในลักษณะดังต่อไปนี้ด้วย
(1) จัดให้มีชื่อเฉพาะสําหรับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกในแต่ละครั้งเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง โดยต้องแสดงให้ทราบถึงชื่อหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิงไว้ในชื่อดังกล่าวด้วย
(2) เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ซึ่งผู้ที่จะสามารถใช้สิทธิและได้รับประโยชน์ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่อปรากฏเป็นผู้ถือในทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เท่านั้น
(3) มีอายุไม่เกินสองปีนับแต่วันที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เว้นแต่กรณีที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายตามเงื่อนไขที่ระบุในข้อกําหนดสิทธิ (ถ้ามี)
(4) ในกรณีที่เป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวน ต้องมีข้อกําหนดว่าเมื่อมีการใช้สิทธิของผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิงให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(5) ในกรณีที่เป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่มีเงื่อนไขว่าบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิง ต้องมีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หากบริษัทไม่สามารถส่งมอบหุ้นอ้างอิงได้เมื่อมีการใช้สิทธิ ทั้งนี้ ค่าเสียหายดังกล่าวต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่าส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ กับราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนดไว้ในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ บวกด้วยค่าปรับซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละสามของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ
(6) ในกรณีที่เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงิน ตามส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงหรือเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ ต้องมีข้อกําหนดว่าหากราคาของหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิงตามที่กําหนด ณ เวลาที่ครบกําหนดอายุของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์สูงกว่าราคาของหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิงที่กําหนดไว้ในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (in the money) บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวจะชําระเงินให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามวิธีและภายในเวลาที่กําหนดไว้ในข้อกําหนดสิทธิ ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะได้แสดงความจํานงในการใช้สิทธิหรือไม่
(7) ในกรณีที่เป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่มีเงื่อนไขว่าบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิง ต้องมีระยะเวลาในการแสดงความจํานงในการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวครั้งสุดท้ายไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันใช้สิทธิดังกล่าว
นอกจากรายการตามที่กําหนดในวรรคหนึ่งแล้ว ข้อกําหนดสิทธิต้องมีรายการตามที่กําหนดในส่วนที่ 4 ด้วย ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตต้องจัดส่งสําเนาข้อกําหนดสิทธิที่มีการรับรองความถูกต้องโดยผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของผู้ได้รับอนุญาต ให้แก่สํานักงานจํานวนหนึ่งชุด พร้อมกับการรายงานผลการขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และหากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิ ให้ผู้ได้รับอนุญาตจัดส่งสําเนาข้อกําหนดสิทธิส่วนที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงที่มีการรับรองความถูกต้อง
โดยผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของผู้ได้รับอนุญาต ให้แก่สํานักงานภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วย
ข้อ ๓๖ ในกรณีเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ผู้ได้รับอนุญาตต้องดําเนินการดังต่อไปนี้ด้วย
(1) จัดให้มีสัญญาฝากทรัพย์สินซึ่งมีรายการและสาระสําคัญตามที่กําหนดในส่วนที่ 5
(2) แต่งตั้งให้บุคคลที่สามารถเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์กองทุนรวมได้เป็นผู้รับฝากทรัพย์สิน
(3) ดําเนินการฝากทรัพย์สินกับผู้รับฝากทรัพย์สินภายในระยะเวลาและตามจํานวนที่ระบุในข้อกําหนดสิทธิ
(4) จัดส่งสําเนาสัญญาฝากทรัพย์สินที่มีการรับรองความถูกต้องโดยผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของผู้ได้รับอนุญาต ให้แก่สํานักงานจํานวนหนึ่งชุด พร้อมกับการรายงานผลการขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และหากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาฝากทรัพย์สิน ให้ผู้ได้รับอนุญาตจัดส่งสําเนาสัญญาฝากทรัพย์สินส่วนที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงที่มีการรับรองความถูกต้องโดยผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของผู้ได้รับอนุญาต ให้แก่สํานักงานภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วย
ข้อ ๓๗ ผู้ได้รับอนุญาตต้องจัดให้มีตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่มีรายการอย่างน้อยตามที่กําหนดในข้อกําหนดสิทธิ และจัดส่งตัวอย่างตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ให้สํานักงานจํานวนหนึ่งชุด พร้อมกับการรายงานผลขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
ข้อ ๓๘ ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตประสงค์จะโฆษณาการขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์โดยวิธีอื่นใดนอกจากการโฆษณาทางสิ่งตีพิมพ์ตามมาตรา 80 ผู้ได้รับอนุญาตต้องดําเนินการโฆษณาตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดตามมาตรา 80 โดยอนุโลมด้วย
ข้อ ๓๙ นอกจากการรายงานตามมาตรา 81 แล้ว ให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่ให้สิทธิที่จะได้รับชําระเงินที่คํานวณได้จากส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงหรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ ยื่นรายงานผลการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าว แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๔๐ ในกรณีที่มีการชดใช้ค่าเสียหายแทนการชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิง ให้ผู้ได้รับอนุญาตแจ้งเป็นหนังสือให้สํานักงานทราบภายในสามวันทําการนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว
ข้อ ๔๑ ผู้ได้รับอนุญาตต้องดํารงลักษณะหรือดําเนินการดังต่อไปนี้ ตลอดจนกว่าสิทธิเรียกร้องตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะระงับลง
(1) ดําเนินการให้มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตามข้อ 34
(2) ไม่เป็นบุคคลภายในของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง ในกรณีเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น
(3) ปฏิบัติตามเงื่อนไขการอนุญาตเกี่ยวกับการจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ การลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และการจ่ายผลประโยชน์ตามที่กําหนดในข้อกําหนดสิทธิ
(4) แจ้งการไม่สามารถดําเนินการตาม (1) (2) หรือ (3) ให้สํานักงานทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว
ส่วน ๔ ข้อกําหนดสิทธิ
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๔๒ ข้อกําหนดสิทธิสําหรับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องมีความชัดเจน ไม่มีข้อกําหนดที่เป็นการเอาเปรียบคู่สัญญาอย่างไม่เป็นธรรม มีการลงลายมือชื่อของผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และประทับตราสําคัญของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (ถ้ามี) ทั้งนี้ ข้อกําหนดสิทธิต้องมีรายละเอียดอย่างน้อยตามรายการดังต่อไปนี้ เว้นแต่สํานักงานผ่อนผันเป็นอย่างอื่น
(1) รายการทั่วไป
(2) ลักษณะสําคัญของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(3) ทรัพย์สินที่ฝากไว้ กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน
(4) วิธีการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(5) วิธีการจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(6) หน้าที่ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(7) ผลของการผิดเงื่อนไขหรือข้อตกลงในข้อกําหนดสิทธิ
(8) อํานาจหน้าที่และความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์สิน กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน
(9) การแต่งตั้งและการเปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สิน กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน
(10) การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิ
(11) การประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(12) ตัวอย่างใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์แนบท้ายข้อกําหนดสิทธิ
ข้อ ๔๓ “รายการทั่วไป” ตามข้อ 42(1) ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) ชื่อและที่อยู่ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(2) ชื่อและที่อยู่ของผู้รับฝากทรัพย์สิน กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน
(3) ชื่อและที่อยู่ของผู้ค้ําประกันการชําระหนี้ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขาย (ถ้ามี)
(4) วันมีผลใช้บังคับของข้อกําหนดสิทธิและวันสิ้นสุดการมีผลใช้บังคับของข้อกําหนดสิทธิ ซึ่งวันมีผลใช้บังคับของข้อกําหนดสิทธิต้องเริ่มในวันแรกที่ผู้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดําเนินการจัดสรรแล้วเสร็จ และสิ้นสุดเมื่อผู้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้ชําระหนี้ให้กับผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์แล้วเสร็จ
(5) กฎหมายที่ใช้บังคับในกรณีที่เกิดข้อพิพาทตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ซึ่งต้องระบุว่าเป็นกฎหมายไทย เว้นแต่เป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต่อผู้ลงทุนในต่างประเทศทั้งจํานวน
ข้อ ๔๔ “ลักษณะสําคัญของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” ตามข้อ 42(2) ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) ชื่อเฉพาะของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(2) ให้ระบุว่าเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์หรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น และในกรณีที่เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน ให้ระบุประเภทของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เช่นนั้นไว้ รวมทั้งสัดส่วนของทรัพย์สินที่ฝากด้วย
(3) ชื่อของหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิง
(4) วันเดือนปีที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ซึ่งหมายถึงวันที่ผู้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดําเนินการจัดสรรแล้วเสร็จ
(5) อายุของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ระยะเวลาแสดงความจํานงในการใช้สิทธิ วันใช้สิทธิ และวันสุดท้ายที่อาจใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(6) จํานวนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ มูลค่าที่ตราไว้ และมูลค่ารวมของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกและเสนอขาย
(7) อัตราและราคาการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และผลประโยชน์ตอบแทนอื่น (ถ้ามี)
(8) ประเภทและจํานวนของทรัพย์สินที่ฝาก กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน
(9) การดําเนินการของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในกรณีที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้แสดงความจํานงในการใช้สิทธิแล้ว แต่ยังไม่ปรากฏชื่อในทะเบียน
รายชื่อผู้ถือหุ้นอ้างอิงของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้มีโอกาสออกเสียง ได้ซื้อหุ้นที่เป็นหุ้นเพิ่มทุน หรือได้รับเงินที่เป็นเงินปันผลหรือประโยชน์อื่นใด ที่เกิดจากหุ้นอ้างอิงในช่วงเวลาดังกล่าว
(10) สิทธิและเงื่อนไขอื่นใดของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เช่น สิทธิของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จะเรียกให้มีการใช้สิทธิก่อนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะครบกําหนด เป็นต้น
(11) ข้อจํากัดในการโอน (ถ้ามี)
ข้อ ๔๕ “ทรัพย์สินที่ฝากไว้ กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน” ตามข้อ 42(3) ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) รายละเอียดของทรัพย์สินที่ฝากไว้ โดยต้องระบุลักษณะเฉพาะของทรัพย์สินดังกล่าว และในกรณีที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินหลายประเภท ให้ระบุสัดส่วนของทรัพย์สินแต่ละประเภทไว้อย่างชัดเจนด้วย
(2) นโยบายเกี่ยวกับการฝากทรัพย์สินว่าเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวนหรือบางส่วน พร้อมทั้งระบุรายละเอียดและขั้นตอนการฝากทรัพย์สินกับผู้รับฝากทรัพย์สิน และต้องฝากทรัพย์สินดังกล่าวตลอดอายุของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ทั้งนี้ ตามสัดส่วนของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ยังไม่มีการใช้สิทธิ
(3) การดําเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ฝากไว้ โดยมีสาระสําคัญอย่างน้อยดังนี้
(ก) ในกรณีที่ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินตามข้อ 10(2) หรือ (3) หากบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะใช้สิทธิตามทรัพย์สินดังกล่าวเมื่อถึงกําหนดการใช้สิทธิ บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องมอบหมายให้ผู้รับฝากทรัพย์สินเป็นผู้ดําเนินการใช้สิทธิแทนบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และส่งมอบหุ้นอ้างอิงที่ได้จากการใช้สิทธิให้ผู้รับฝากทรัพย์สินเพื่อทดแทนทรัพย์สินที่ฝากไว้เดิม
(ข) การถอนทรัพย์สินที่ฝากไว้นอกจากกรณีตาม (ก) บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะกระทําได้โดยได้รับความยินยอมจากที่ประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และต้องจัดให้มีทรัพย์สินใหม่ที่จะนํามาทดแทนทรัพย์สินเดิม ซึ่งต้องเป็นไปตามลักษณะที่กําหนด
ในข้อ 10 ด้วย
(4) ในการดําเนินการส่งมอบหุ้นอ้างอิงจากทรัพย์สินที่ฝากไว้กับผู้รับฝากทรัพย์สิน บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องมอบหมายให้ผู้รับฝากทรัพย์สินเป็นผู้ดําเนินการแทน
ข้อ ๔๖ “วิธีการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” ตามข้อ 42(4) ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) วิธีการ ระยะเวลา วันที่ใช้สิทธิ และสถานที่ในการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(2) เงื่อนไขการปรับราคาหรืออัตราการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ พร้อมทั้งวิธีคํานวณ (ถ้ามี)
(3) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขยายระยะเวลาการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย
(4) กรณีที่เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์มีเงื่อนไขว่าจะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิง ต้องมีข้อกําหนดว่าเมื่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ใช้สิทธิ บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิงให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และต้องระบุวิธีคํานวณและการชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ไม่สามารถส่งมอบหุ้นอ้างอิงให้ได้ โดยค่าเสียหายที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะได้รับต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่าส่วนต่างของราคาของหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ กับราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนดในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ บวกด้วยค่าปรับซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละสามของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ
(5) วิธีในการคํานวณผลประโยชน์ที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องส่งมอบเมื่อมีการใช้สิทธิ (ถ้ามี)
(6) ข้อกําหนดที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะไม่จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่บุคคลที่มิได้มีชื่อในทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
ข้อ ๔๗ “วิธีการจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียน
การโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” ตามข้อ 42(5) ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) มีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จัดให้มีทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียนการโอน
(2) กําหนดให้การโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้มีชื่อแสดงว่าเป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนคนสุดท้ายได้ส่งมอบตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวต่อผู้รับโอน โดยลงลายมือชื่อสลักหลังแสดงการโอนตามมาตรา 53 และตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์และการลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์ โดยอนุโลม แต่ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตดําเนินการให้ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับกับหลักทรัพย์จดทะเบียน
ข้อ ๔๘ “หน้าที่ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” ตามข้อ 42(6) ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) ข้อกําหนดที่ระบุว่าบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และคําสั่งต่าง ๆ ที่ออกตามกฎหมาย และปฏิบัติตามความผูกพันต่าง ๆ ตามข้อกําหนดสิทธิ
(2) ในกรณีเป็นการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินมีข้อกําหนดที่ระบุว่าบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะไม่ถอนหรือทําให้ทรัพย์สินที่ฝากไว้มีจํานวนลดลง เว้นแต่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในข้อกําหนดสิทธิ
(3) ข้อกําหนดที่ระบุว่าบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะดํารงทรัพย์สินที่ฝากไว้ในกรณีที่เป็นการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน ตามสัดส่วนที่ระบุไว้ในการขออนุญาต ตลอดจนกว่าสิทธิเรียกร้องตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะระงับลง และบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะไม่เรียกคืนทรัพย์สินดังกล่าวก่อนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจะระงับลงด้วย
(4) ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิอันเป็นเหตุให้ทรัพย์สินที่ฝากไว้ไม่เพียงพอตามสัดส่วนที่ระบุไว้ในการขออนุญาต บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะนําทรัพย์สินตามที่กําหนดไว้ในข้อ 10 ไปฝากเพิ่มเติมกับผู้รับฝากทรัพย์สินเพื่อให้เพียงพอตามสัดส่วนเช่นเดิมภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว
(5) การจัดให้มีเอกสารเปิดเผยต่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังต่อไปนี้ ณ สถานที่ทําการของนายทะเบียนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และสถานที่ทําการของผู้รับฝากทรัพย์สิน (ถ้ามี)
(ก) คู่ฉบับข้อกําหนดสิทธิฉบับแรกและฉบับที่แก้ไขเปลี่ยนแปลง
(ข) สําเนางบการเงิน และรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ต้องจัดทําและส่งให้สํานักงานตามมาตรา 56 มาตรา 57 และมาตรา 58 สําเนารายงานผลการขายและรายงานผลการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามมาตรา 81 โดยจะจัดส่งให้ผู้รับฝากทรัพย์สินภายในระยะเวลาเดียวกับที่กําหนดให้ส่งต่อสํานักงาน
(ค) สําเนาทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เมื่อผู้รับฝากทรัพย์สินร้องขอ
(6) การจัดทําและส่งรายงานดังต่อไปนี้ให้ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่มีรายชื่อตามทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และผู้รับฝากทรัพย์สิน (ถ้ามี)
(ก) รายงานกรณีที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกิจการของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เช่น ถูกฟ้องร้องคดีต่อศาลซึ่งอาจมีผลกระทบต่อทรัพย์สินที่ฝากไว้ในกรณีที่เป็นการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน
มีผลการดําเนินงานขาดทุน หรือมีการลดทุนอย่างมีนัยสําคัญ เป็นต้น
(ข) รายงานกรณีที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกิจการของผู้ค้ําประกันการชําระหนี้ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขาย (ถ้ามี) เช่น มีการขาดทุน หยุดการดําเนินกิจการ หรือเกิดเหตุการณ์อื่นใดที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับการค้ําประกัน เป็นต้น
(7) การแต่งตั้งผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหม่ เมื่อมีกรณีที่จะต้องเปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สิน โดยต้องเป็นไปตามที่กําหนดในข้อ 36(2)
(8) การอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้รับฝากทรัพย์สินในการเข้าตรวจดูทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์หรือเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามที่ผู้รับฝากทรัพย์สินร้องขอในระหว่างเวลาทําการของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
ข้อ ๔๙ “ผลของการผิดเงื่อนไขหรือข้อตกลงในข้อกําหนดสิทธิ” ตามข้อ 42(7) จะต้องระบุผลของการผิดเงื่อนไขหรือข้อตกลงในแต่ละกรณีไว้อย่างชัดเจน รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการในการดําเนินการเมื่อมีการผิดเงื่อนไขหรือข้อตกลงนั้นด้วย และให้ระบุมาตรการอื่นเพื่อคุ้มครองสิทธิของ ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ด้วย
ข้อ ๕๐ “อํานาจหน้าที่และความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์สิน กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน” ตามข้อ 42(8) ต้องตรงกับที่กําหนดไว้ในสัญญาฝากทรัพย์สิน โดยมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) ความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์สินเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่ตนละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่
(2) หน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์สินในการติดตามดูแลให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อตกลงที่ระบุไว้ในข้อกําหนดสิทธิเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้รับฝากทรัพย์สิน
(3) อํานาจและหน้าที่ในการดําเนินการเกี่ยวกับการรับและเก็บรักษาทรัพย์สินซึ่งผู้รับฝากทรัพย์สินได้รับฝากไว้เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของตน รวมทั้งการส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวให้ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ด้วย
(4) ข้อจํากัดอํานาจของผู้รับฝากทรัพย์สินในการดําเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ฝากไว้ในกรณีที่เป็นการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน โดยข้อจํากัดอํานาจดังกล่าวต้องไม่ขัดแย้งกับข้อตกลงที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ฝากไว้ในข้อ 45 (ถ้ามี)
(5) หน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์สินในการรายงานต่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามรายชื่อที่ปรากฏในทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เมื่อมีเหตุการณ์ที่กระทบต่อทรัพย์สินที่ฝากไว้อย่างมีนัยสําคัญ เว้นแต่กรณีที่ระบุไว้แล้วในข้อกําหนดสิทธิ
(6) หน้าที่ในการอํานวยความสะดวกแก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในการตรวจดูเอกสารดังต่อไปนี้ ในระหว่างเวลาทําการของผู้รับฝากทรัพย์สิน
(ก) บัญชีทรัพย์สินที่ฝากไว้
(ข) งบการเงิน และรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จัดส่งมาให้
(7) หน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์สินที่ต้องดํารงคุณสมบัติให้เป็นไปตามที่กําหนดในข้อ 36(2) ตลอดเวลาของการเป็นผู้รับฝากทรัพย์สิน และในกรณีที่ผู้รับฝากทรัพย์สินขาดคุณสมบัติ ต้องมีข้อกําหนดให้ผู้รับฝากทรัพย์สินต้องดําเนินการแก้ไขคุณสมบัติของตนให้ถูกต้องภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ขาดคุณสมบัตินั้น ในกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้รับฝากทรัพย์สินต้องแจ้งเป็นหนังสือไปยังบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ทันทีที่พ้นระยะเวลาดังกล่าวเพื่อให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สิน
(8) หน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์สินเมื่อจะมีการเปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สิน ซึ่งต้องกําหนดให้ผู้รับฝากทรัพย์สินเดิมปฏิบัติหน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์สินตามที่กําหนดไว้ในข้อกําหนดสิทธิและสัญญาฝากทรัพย์สินต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหม่และได้มีการส่งมอบบรรดาทรัพย์สิน เอกสาร และหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้แก่ผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหม่แล้ว ทั้งนี้ ผู้รับฝากทรัพย์สินเดิมต้องให้ความร่วมมือกับผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหม่ด้วยเพื่อให้การดําเนินการตามหน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหม่เป็นไปโดยเรียบร้อย
(9) หน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์สินในการจัดทําบัญชีทรัพย์สินที่ฝากไว้ให้ครบถ้วน ถูกต้อง และตรงตามความเป็นจริง
ข้อ ๕๑ “การแต่งตั้งและการเปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สิน กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน” ตามข้อ 42(9) ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) วิธีการแต่งตั้งผู้รับฝากทรัพย์สิน
(2) การเปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สินซึ่งอย่างน้อยต้องระบุให้มีการเปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สินเมื่อเกิดกรณีดังนี้
(ก) ผู้รับฝากทรัพย์สินไม่สามารถดําเนินการแก้ไขการขาดคุณสมบัติภายในระยะเวลาที่กําหนดในข้อ 50(7)
(ข) ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์รวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหน่วยของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ยังสามารถใช้สิทธิได้ แจ้งให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สิน เนื่องจากผู้รับฝากทรัพย์สินปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสมหรือบกพร่อง
(ค) เมื่อมีเหตุที่ทําให้สัญญาฝากทรัพย์สินระงับสิ้นไป
(3) การดําเนินการเพื่อแต่งตั้งผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหม่ ซึ่งต้องระบุให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องปฏิบัติในลักษณะเดียวกับข้อกําหนดในข้อ 36(2) ทั้งนี้ บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องแต่งตั้งผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีเหตุตาม (2) หรือภายในกําหนดระยะเวลาที่ได้รับผ่อนผันจากสํานักงานในกรณีที่ไม่สามารถดําเนินการตามกําหนดเวลาดังกล่าวได้เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย และต้องแจ้งให้ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ทราบถึงการเปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหม่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีการดําเนินการดังกล่าว
ข้อ ๕๒ “การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิ” ตามข้อ 42(10) ต้องมีรายการอย่างน้อยดังนี้
(1) มีการกําหนดให้การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิ ต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และที่ประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เว้นแต่เป็นกรณีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์อย่างชัดแจ้ง อาจกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์สามารถกระทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากที่ประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ก็ได้
(2) ข้อตกลงที่ระบุให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องส่งคู่ฉบับข้อกําหนดสิทธิส่วนที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงให้นายทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และผู้รับฝากทรัพย์สิน (ถ้ามี) ภายในระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และส่งสรุปสาระสําคัญของข้อกําหนดสิทธิส่วนที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เมื่อได้รับการร้องขอภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น
ข้อ ๕๓ “การประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” ตามข้อ 42(11) ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้
(1) กรณีต้องเรียกประชุม มีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องเรียกประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ภายในสามสิบวันนับแต่เกิดกรณีดังต่อไปนี้
(ก) เมื่อมีการขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดสิทธิในลักษณะที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(ข) เมื่อมีการขอถอนทรัพย์สินที่ฝากไว้ กรณีใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน
(ค) เมื่อมีเหตุการณ์สําคัญอันอาจกระทบต่อความสามารถของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในการปฏิบัติตามข้อกําหนดสิทธิ
ในกรณีที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ไม่ดําเนินการเรียกประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ภายในระยะเวลาที่กําหนดตามวรรคหนึ่ง หรือกรณีที่มีเหตุอันสมควร ให้ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่มีจํานวนหน่วยของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์รวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหน่วยของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ยังไม่มีการใช้สิทธิ เรียกประชุมแทนได้
(2) องค์ประชุมและมติที่ประชุม มีข้อกําหนดให้การประชุมที่ได้มีการเรียกตาม (1) จะต้องมีองค์ประชุมและมติที่ประชุมอย่างน้อยดังนี้
(ก) มีผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และผู้รับมอบฉันทะจากผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (ถ้ามี) มาประชุมโดยมีจํานวนหน่วยของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์รวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนหน่วยของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ยังไม่มีการใช้สิทธิ จึงจะเป็นองค์ประชุม
ในกรณีที่ได้มีการเรียกประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ครั้งใด แต่จํานวนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ซึ่งมาเข้าร่วมประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุม ให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นัดประชุมใหม่ได้โดยในการประชุมครั้งหลังนี้ ไม่บังคับว่าจะต้องครบองค์ประชุม
(ข) มติของที่ประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ให้ถือคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจํานวนหน่วยของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ทั้งหมดของผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง
(ค) การนับมติที่ประชุม ไม่ให้นับรวมจํานวนหน่วยของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ของผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เป็นบุคคลดังต่อไปนี้
1. ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ กรรมการ และผู้บริหารของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว
2. บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
3. ผู้ค้ําประกันการชําระหนี้ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขาย
(3) มีข้อตกลงระบุให้มติที่ประชุมผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์มีผลผูกพันผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ทุกคนรวมทั้งผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย
(4) วิธีการเรียกประชุม และวิธีการดําเนินการประชุม
(5) ข้อกําหนดมิให้บุคคลตาม (2) (ค) 1. 2. และ 3. ซึ่งเป็นผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในเรื่องใดออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้น
ข้อ ๕๔ “ตัวอย่างใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” ตามข้อ 42(12) ต้องมีรายการดังต่อไปนี้ในตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(1) ชื่อเฉพาะของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(2) ลักษณะของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ โดยให้ระบุว่าเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในดัชนีหลักทรัพย์ หรือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น และในกรณีที่เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน ก็ให้ระบุประเภทของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เช่นนั้นไว้ รวมทั้งระบุสัดส่วนของทรัพย์สินที่ฝากด้วย
(3) ชื่อของหุ้นอ้างอิงหรือดัชนีอ้างอิง
(4) ชื่อบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(5) จํานวนหน่วยที่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์มีสิทธิ
(6) ชื่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(7) เลขที่อ้างอิงของผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามทะเบียนผู้ถือใบสําคัญ
แสดงสิทธิอนุพันธ์
(8) วัน เดือน ปีที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และวัน เดือน ปีที่สิ้นสุดของ
ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(9) ชื่อผู้รับฝากทรัพย์สิน (ถ้ามี)
(10) ชื่อผู้ค้ําประกันการชําระหนี้ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่เสนอขาย (ถ้ามี)
(11) การชําระหนี้ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เมื่อมีการใช้สิทธิ
ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ซึ่งต้องระบุอย่างชัดเจนว่าจะชําระหนี้โดยการส่งมอบเงินสดหรือหุ้นอ้างอิง
(12) มีข้อความที่ระบุว่าใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นี้ออกตามสิทธิและเงื่อนไข
ที่กําหนดตามข้อกําหนดสิทธิซึ่งบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้จัดทําขึ้นและถือเป็นข้อตกลงผูกพันระหว่างบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์กับผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ทั้งนี้ ต้องระบุด้วยว่าผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์สามารถขอตรวจดูข้อกําหนดสิทธิดังกล่าวได้ที่ใด
(13) ลายมือชื่อผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์
ส่วน ๕ สัญญาฝากทรัพย์สิน
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๕๕ ในกรณีเป็นการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สิน ผู้ได้รับอนุญาตต้องจัดให้มีสัญญาฝากทรัพย์สินที่มีความชัดเจน ไม่มีข้อกําหนดที่เป็นการเอาเปรียบคู่สัญญาอย่างไม่เป็นธรรม และสอดคล้องกับข้อกําหนดสิทธิเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้รับฝากทรัพย์สิน มีการลงลายมือชื่อของคู่สัญญา และต้องมีรายละเอียดอย่างน้อยตามรายการดังต่อไปนี้ เว้นแต่สํานักงานจะผ่อนผันเป็นอย่างอื่น
(1) รายการทั่วไป
(2) หน้าที่ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(3) อํานาจหน้าที่และความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์สิน
(4) การสิ้นสุดสัญญาฝากทรัพย์สิน
ข้อ ๕๖ “รายการทั่วไป” ตามข้อ 55(1) ต้องมีสาระอย่างน้อย ดังนี้
(1) ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญา
(2) วันที่สัญญามีผลใช้บังคับ
(3) อัตราและวิธีการจ่ายค่าตอบแทนหรือบําเหน็จในการเป็นผู้รับฝากทรัพย์สิน ซึ่งต้องกําหนดไว้อย่างชัดเจน
(4) ระบุข้อความในลักษณะดังต่อไปนี้
“การฝากทรัพย์สินตามสัญญานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับฝากทรัพย์สินเก็บรักษาและดูแลทรัพย์สินที่ฝากไว้เสมือนเป็นประกันการให้สิทธิแก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์”
(5) ระบุลักษณะของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ สัดส่วนของทรัพย์สินที่ฝากไว้กับผู้รับฝากทรัพย์สิน ประเภทของทรัพย์สินที่ฝากและลักษณะสําคัญของทรัพย์สินดังกล่าว
ข้อ ๕๗ “หน้าที่ของบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” ตามข้อ 55(2) ต้องมีสาระอย่างน้อย ดังนี้
(1) การดําเนินการตามที่กําหนดในข้อ 45(2) (3) และ (4) และข้อ 48(3) และ (4)
(2) ระยะเวลาที่บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะส่งมอบทรัพย์สินให้
ผู้รับฝากทรัพย์สินซึ่งอย่างช้าต้องเป็นวันแรกที่เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(3) บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะจัดให้มีและส่งมอบข้อกําหนดสิทธิให้แก่นายทะเบียนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และผู้รับฝากทรัพย์สิน
(4) ในกรณีที่มีเหตุการณ์ให้ต้องเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะส่งมอบทรัพย์สินตามที่กําหนดไว้ในข้อ 10 ไปฝากเพิ่มเติมให้ผู้รับฝากทรัพย์สินเพื่อให้ทรัพย์สินที่ฝากไว้มีสัดส่วนตามที่ระบุไว้ในข้อกําหนดสิทธิภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว
ข้อ ๕๘ “อํานาจหน้าที่และความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์สิน” ตามข้อ 55(3) ต้องมีสาระอย่างน้อย ดังนี้
(1) รายละเอียดตามรายการที่กําหนดในข้อ 50
(2) ผู้รับฝากทรัพย์สินต้องเก็บรักษาทรัพย์สินที่ฝากไว้แยกจากทรัพย์สินของผู้รับฝากทรัพย์สินและของลูกค้ารายอื่นของผู้รับฝากทรัพย์สิน ทั้งนี้ ให้เก็บรักษาทรัพย์สินดังกล่าวไว้ในที่ปลอดภัย และให้จัดทําบัญชีทรัพย์สินดังกล่าวแยกจากบัญชีทรัพย์สินของผู้รับฝากทรัพย์สินและลูกค้าอื่นของผู้รับฝากทรัพย์สิน และต้องจัดทําโดยครบถ้วน ถูกต้อง และตรงตามความเป็นจริง
(3) ผู้รับฝากทรัพย์สินจะไม่กระทําการใด ๆ อันเป็นผลให้ทรัพย์สินที่ฝากไว้มีจํานวนเปลี่ยนแปลงหรือลดลง เว้นแต่เป็นการคืนทรัพย์สินดังกล่าวตามสัดส่วนของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ได้มีการใช้สิทธิแล้ว หรือเป็นการคืนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จะซื้อหุ้นและเงินที่จะชําระเป็นค่าซื้อหุ้นซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ฝากไว้เพื่อให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์นําไปใช้สิทธิ
ข้อ ๕๙ “การสิ้นสุดสัญญาฝากทรัพย์สิน” ตามข้อ 55(4) ต้องมีสาระอย่างน้อย ดังนี้
(1) ในกรณีที่ผู้รับฝากทรัพย์สินไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดในการดํารงคุณสมบัติและไม่สามารถแก้ไขคุณสมบัติดังกล่าวตามที่กําหนดในข้อ 50(7) ให้สัญญาฝากทรัพย์สินเป็นอันสิ้นสุดลง
(2) ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์รวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจํานวนหน่วยของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ยังสามารถใช้สิทธิได้ แจ้งให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เปลี่ยนผู้รับฝากทรัพย์สิน เนื่องจากผู้รับฝากทรัพย์สินปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสมหรือบกพร่อง
หมวด ๓ การขอตรวจสอบและการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิง
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๖๐ ผู้ได้รับอนุญาตจะได้รับการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงสําหรับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นต่อเมื่อหุ้นอ้างอิงมีลักษณะตามที่สํานักงานประกาศกําหนด ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการขอตรวจสอบและการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงให้เป็นไปตามที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๖๑ ผู้ได้รับการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงต้องเริ่มดําเนินการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ภายในระยะเวลาที่สํานักงานประกาศกําหนด โดยหากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่าผลการยืนยันการใช้หุ้นอ้างอิงในครั้งนั้นเป็นอันสิ้นสุดลง
ข้อ ๖๒ ภายหลังการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้น ผู้ได้รับอนุญาตต้องยื่นรายงานเกี่ยวกับการใช้หุ้นอ้างอิงต่อสํานักงานตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่สํานักงานประกาศกําหนดด้วย
หมวด ๒
หมวด ๔ การอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่
เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูกิจการหรือปรับโครงสร้างหนี้
ของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิง
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๖๓ ความในหมวดนี้ให้ใช้บังคับกับการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) หุ้นอ้างอิงที่รองรับการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องเป็นหุ้นที่ออกโดยบริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย และบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงดังกล่าวมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
(ก) มีเหตุจําเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทางด้านเงินทุนหรือปรับโครงสร้างบริษัท เนื่องจากประสบปัญหาด้านสภาพคล่องหรือการชําระคืนหนี้อย่างมีนัยสําคัญ หรือประสบปัญหาเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อการดํารงอยู่ของบริษัท เช่น มียอดขาดทุนสะสมเป็นจํานวนมากเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น หรือมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงผิดปกติเมื่อเทียบกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงต้องรับทราบเหตุดังกล่าวที่ทําให้ต้องเพิ่มทุน และมีมติให้เพิ่มทุนเพื่อแก้ไขเหตุดังกล่าวแล้ว
(ข) การออกหุ้นอ้างอิงที่รองรับการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลายซึ่งศาลเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว
(2) หุ้นอ้างอิงที่รองรับการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต้องเป็นหุ้นที่บริษัทตาม (1) ออกใหม่ให้แก่ผู้ขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ภายในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนก่อนวันที่ยื่นคําขออนุญาต หรือภายในกําหนดระยะเวลาที่ได้รับผ่อนผันจากสํานักงาน แต่เมื่อรวมกันแล้วผ่อนผันได้ไม่เกินหนึ่งปีก่อนวันที่ยื่นคําขออนุญาต
(3) ผู้ขออนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เป็นสถาบันการเงินที่จะช่วยเหลือฟื้นฟูกิจการของบริษัทตาม (1) โดยการซื้อหุ้นอ้างอิงตาม (2) หรือเป็นนิติบุคคลที่สถาบันการเงินนั้นจัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อการออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในครั้งนั้น
(4) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ขออนุญาตต้องเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จัดให้มีการฝากทรัพย์สินเต็มจํานวน และเป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในหุ้นที่มีเงื่อนไขว่าบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิงที่ผู้ขออนุญาตได้รับซื้อไว้เพื่อช่วยเหลือบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงตาม (2)
ข้อ ๖๔ การขออนุญาตและการอนุญาตเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ตามหมวดนี้ให้เป็นไปตามที่กําหนดในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ของหมวดนี้ โดยในกรณีที่เป็นการขออนุญาตตามส่วนที่ 2 ให้ผู้ขออนุญาตจัดให้มีที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีที่สํานักงานให้ความเห็นชอบเป็นผู้ร่วมจัดทําคําขออนุญาตดังกล่าวด้วย เว้นแต่ผู้ขออนุญาตนั้นเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าวอยู่แล้ว
ในกรณีที่การฟื้นฟูกิจการหรือการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทที่ออกหุ้นอ้างอิงนั้นเกี่ยวข้องกับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์หลายชุด ผู้ขออนุญาตสามารถระบุรายละเอียดของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ทุกชุดไว้ในคําขออนุญาตเพียงหนึ่งคําขอได้
ข้อ ๖๕ ผู้ได้รับอนุญาตต้องเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ได้รับอนุญาตตามหมวดนี้ภายในระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงาน หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้วให้การอนุญาตเป็นอันสิ้นสุดลง
ส่วน ๑ การอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
แก่บุคคลในวงจํากัด
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๖๖ การเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัดตามหมวดนี้ได้แก่การเสนอขายที่เข้าลักษณะตามส่วนที่ 1 ของหมวด 1 โดยอนุโลม
ข้อ ๖๗ บริษัทที่ประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจํากัดต้องยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงาน และจะได้รับอนุญาตต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ 63(3) วัตถุประสงค์ของบริษัทที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิต้องชัดเจนว่าจะดําเนินธุรกิจเพื่อการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานตามหมวดนี้เท่านั้น และข้อบังคับของบริษัทต้องกําหนดห้ามมิให้มีการก่อภาระผูกพันอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และสามารถแสดงได้ว่าการแก้ไขข้อบังคับในเรื่องดังกล่าวจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวก่อน
(2) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ขออนุญาตมีสิทธิและเงื่อนไขตามที่กําหนดในข้อกําหนดสิทธิ โดยต้องมีการกําหนดสิทธิและเงื่อนไขอย่างน้อยในลักษณะดังต่อไปนี้
(ก) จัดให้มีชื่อเฉพาะของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง โดยต้องแสดงให้ทราบถึงชื่อหุ้นอ้างอิงไว้ในชื่อดังกล่าวด้วย
(ข) เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ซึ่งผู้ที่จะสามารถใช้สิทธิและได้รับประโยชน์ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่อปรากฏเป็นผู้ถือในทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เท่านั้น
(ค) ต้องมีข้อกําหนดว่า เมื่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ใช้สิทธิ บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิงให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(ง) มีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หากบริษัทไม่สามารถส่งมอบหุ้นอ้างอิงได้เมื่อมีการใช้สิทธิ ทั้งนี้ ค่าเสียหายดังกล่าวต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่าส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ กับราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนดไว้ในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ บวกด้วยค่าปรับซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละสามของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ
(จ) มีการกําหนดวิธีการในการจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์อย่างน้อยในลักษณะดังต่อไปนี้
1. มีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จัดให้มีทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
2. กําหนดให้การโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้มีชื่อแสดงว่าเป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนคนสุดท้ายได้ส่งมอบตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวต่อผู้รับโอน โดยลงลายมือชื่อสลักหลังแสดงการโอนตามมาตรา 53 และตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์และการลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์ โดยอนุโลม
นอกจากรายการตามวรรคหนึ่ง ข้อกําหนดสิทธิต้องมีรายการอย่างน้อยตามที่กําหนดในมาตรา 42 โดยอนุโลม
ข้อ ๖๘ ให้สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตตามส่วนนี้ให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในเจ็ดวันทําการนับแต่วันที่ได้รับคําขออนุญาตพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน หากสํานักงานไม่แจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้ขออนุญาตนั้นได้รับอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามส่วนนี้ได้ในวันถัดจากวันที่ครบกําหนดเจ็ดวันทําการนับแต่วันที่ได้รับคําขออนุญาตนั้น
ภายหลังได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ผู้ได้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขภายหลังการอนุญาตที่กําหนดในข้อ 18 ข้อ 19 ข้อ 20 ข้อ 21 ข้อ 23 และข้อ 24 โดยอนุโลมด้วย
ส่วน ๒ การอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ต่อประชาชน
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๖๙ บริษัทที่ประสงค์จะเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ต่อประชาชนต้องยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงาน และจะได้รับอนุญาตต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) (ก) มีกรรมการและผู้บริหารที่เป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในระบบข้อมูลรายชื่อกรรมการและผู้บริหารตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์
(ข) มีผู้มีอํานาจควบคุมที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ โดยอนุโลม
(ค) ไม่มีประวัติขาดความรับผิดชอบในการเป็นบริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือไม่มีกรรมการและผู้บริหารที่เคยดํารงตําแหน่งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่มีประวัติดังกล่าว
(2) ในกรณีที่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ 63(3) วัตถุประสงค์ของบริษัทที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิต้องชัดเจนว่าจะดําเนินธุรกิจเพื่อการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานตามหมวดนี้เท่านั้น และข้อบังคับของบริษัทต้องกําหนดห้ามมิให้มีการก่อภาระผูกพันอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และสามารถแสดงได้ว่าการแก้ไขข้อบังคับในเรื่องดังกล่าวจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวก่อน
(3) ใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ขออนุญาตมีสิทธิและเงื่อนไขตามที่กําหนดในข้อกําหนดสิทธิ โดยต้องมีการกําหนดสิทธิและเงื่อนไขอย่างน้อยในลักษณะดังต่อไปนี้
(ก) จัดให้มีชื่อเฉพาะของใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง โดยต้องแสดงให้ทราบถึงชื่อหุ้นอ้างอิงไว้ในชื่อดังกล่าวด้วย
(ข) เป็นใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ซึ่งผู้ที่จะสามารถใช้สิทธิและได้รับประโยชน์ตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่อปรากฏเป็นผู้ถือในทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เท่านั้น
(ค) ต้องมีข้อกําหนดว่า เมื่อผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ใช้สิทธิ บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะชําระหนี้โดยการส่งมอบหุ้นอ้างอิงให้แก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
(ง) มีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หากบริษัทไม่สามารถส่งมอบหุ้นอ้างอิงได้เมื่อมีการใช้สิทธิ ทั้งนี้ ค่าเสียหายดังกล่าวต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่าส่วนต่างของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ กับราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนดไว้ในใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ บวกด้วยค่าปรับซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละสามของราคาหุ้นอ้างอิงที่กําหนด ณ วันที่ใช้สิทธิ
(จ) มีระยะเวลาแสดงความจํานงในการใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ครั้งสุดท้ายไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันใช้สิทธิดังกล่าว
(ฉ) มีการกําหนดวิธีการในการจัดทําทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์อย่างน้อยในลักษณะดังต่อไปนี้
1. มีข้อกําหนดให้บริษัทที่ออกใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จัดให้มีทะเบียนผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และการลงทะเบียนการโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
2. กําหนดให้การโอนใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้มีชื่อแสดงว่าเป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนคนสุดท้ายได้ส่งมอบตราสารกํากับใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าวต่อผู้รับโอน โดยลงลายมือชื่อสลักหลังแสดงการโอนตามมาตรา 53 และตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์และการลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์ โดยอนุโลม
นอกจากรายการตามวรรคหนึ่ง ข้อกําหนดสิทธิต้องมีรายการอย่างน้อยตามที่กําหนดในมาตรา 42 โดยอนุโลม
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่ง (1) หากสํานักงานเห็นว่าเหตุที่ทําให้ผู้ขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่ง (1) ดังกล่าวเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงหรือได้ดําเนินการแก้ไขแล้ว สํานักงานอาจไม่นําเหตุดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาก็ได้
ข้อ ๗๐ ในกรณีที่สํานักงานไม่อนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ตามส่วนนี้ เนื่องจากผู้ขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในข้อ 69(1) (ข) หรือ (ค) ในการแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาต ให้สํานักงานมีอํานาจกําหนดระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการพิจารณาคําขออนุญาตในคราวต่อไป โดยคํานึงถึงความร้ายแรงของข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นการกําหนดระยะเวลา ระยะเวลาดังกล่าวต้องไม่เกินสิบห้าปีนับแต่วันที่สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตต่อผู้ขออนุญาต
เมื่อพ้นระยะเวลาที่สํานักงานกําหนดตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อผู้ขออนุญาตได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สํานักงานกําหนดแล้ว มิให้สํานักงานนําข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการสั่งการตามวรรคหนึ่งมาประกอบการพิจารณาคําขอในครั้งใหม่อีก
ในกรณีที่สํานักงานเห็นว่าเหตุที่ทําให้ผู้ยื่นคําขออนุญาตมีลักษณะไม่เป็นไปตามข้อ 69(1) (ข) หรือ (ค) เป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงหรือได้มีการแก้ไขหรือกําหนดมาตรการป้องกันแล้ว สํานักงานอาจไม่นําข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขาดคุณลักษณะดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาก็ได้
ข้อ ๗๑ ให้สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขออนุญาตตามส่วนนี้ให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําขออนุญาตพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน
ข้อ ๗๒ ภายหลังได้รับอนุญาตตามส่วนนี้แล้ว ให้ผู้ได้รับอนุญาตปฏิบัติตามเงื่อนไขภายหลังการอนุญาตที่กําหนดในข้อ 21(4) ข้อ 24 ข้อ 36 ข้อ 37 ข้อ 38 ข้อ 40 และข้อ 41(3) และ (4) โดยอนุโลมด้วย
หมวด ๕ บทเฉพาะกาล
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
หมวด ๗๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
หมวด ๗๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 24/2543 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2543 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,831 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 2/2546 เรื่อง การเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 2/2546
เรื่อง การเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจาก
หลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ 2)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 11 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 35/2543 เรื่อง การเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 11 ผู้ได้รับอนุญาตต้องไม่ใช้สิทธิออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์อ้างอิง เว้นแต่เป็นการออกเสียงเพื่อพิจารณามติเกี่ยวกับการเพิกถอนหลักทรัพย์อ้างอิงจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2546
ร้อยเอก
(สุชาติ เชาว์วิศิษฐ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,832 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 31/2552 เรื่อง การเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 31/2552
เรื่อง การเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจาก
หลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 35 มาตรา 56 มาตรา 67 และมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
(1) “หลักทรัพย์จดทะเบียน” หมายความว่า
(ก) หุ้นซึ่งเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
(ข) หุ้นของบริษัทมหาชนจํากัดที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานให้ออกและเสนอขายต่อประชาชนและได้ยื่นคําขอต่อตลาดหลักทรัพย์เพื่อนําหุ้นที่ออกไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
(ค) หุ้นเพิ่มทุนที่บริษัทที่ออกหุ้นตาม (ก) ให้สิทธิผู้ถือหุ้นที่จะซื้อได้ตามส่วนจํานวนที่ผู้ถือหุ้นมีอยู่ก่อนแล้ว
(ง) ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ของบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
(2) “ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย” หมายความว่า ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
(3) “ตลาดหลักทรัพย์” หมายความว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หมวด ๑ การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายใบแสดงสิทธิ
ในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๓ บริษัทใดประสงค์จะเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยให้ยื่นคําขออนุญาตพร้อมเอกสารหลักฐานต่อสํานักงาน
ในการพิจารณาคําขออนุญาต ให้สํานักงานมีอํานาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ขออนุญาต มาชี้แจง ส่งต้นฉบับหรือสําเนาเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ เพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาที่สํานักงานกําหนด
ข้อ ๔ ผู้ขออนุญาตเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยที่ออกใหม่ จะได้รับอนุญาตจากสํานักงานต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ขออนุญาตเป็นบริษัทจํากัดที่ตลาดหลักทรัพย์จัดตั้งขึ้นและถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบเก้าของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(2) ผู้ขออนุญาตมีวัตถุประสงค์จํากัดเฉพาะการเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย
(3) ข้อบังคับของผู้ขออนุญาตมีข้อกําหนดเกี่ยวกับการจํากัดการลงทุน โดยให้ลงทุนได้เฉพาะในหลักทรัพย์จดทะเบียนเพื่อรองรับใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยที่ผู้ขออนุญาตได้เสนอขาย ในจํานวนเท่ากับจํานวนใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยที่คงค้าง
การจํากัดการลงทุนตามวรรคหนึ่ง ไม่ให้หมายความรวมถึง การนําเงินสดที่มีสภาพคล่องส่วนเกินจากการลงทุนไปลงทุนหาผลประโยชน์ใน
(ก) ตั๋วเงินคลัง
(ข) พันธบัตรรัฐบาล
(ค) พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
(ง) พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ําประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
(จ) บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน ที่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เป็นผู้ออกหรือผู้สั่งจ่าย หรือเป็นผู้รับรองหรือผู้รับอาวัล
(ฉ) เงินฝากในธนาคารพาณิชย์
(ช) ลงทุนหาผลประโยชน์โดยวิธีอื่นใดตามที่สํานักงานอนุญาต
(4) แสดงได้ว่าข้อกําหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ขออนุญาตและผู้ถือใบแสดงสิทธิ
ในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยจะไม่มีข้อกําหนดที่ขัดแย้งกับเงื่อนไขการอนุญาตตามข้อ 7 ข้อ 11 และข้อ 12
เมื่อได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้ได้รับอนุญาตจะเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยที่ออกใหม่ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาใด และโดยมีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนหลักทรัพย์ใดก็ได้
หมวด ๒ หน้าที่ก่อนการเสนอขายหลักทรัพย์
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๕ ให้ผู้ได้รับอนุญาตยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสํานักงานจํานวนสองชุด พร้อมทั้งร่างหนังสือชี้ชวน โดยแบบแสดงรายการข้อมูลให้ประกอบด้วยข้อมูลดังต่อไปนี้
(1) ข้อมูลตามรายการที่กําหนดไว้ในมาตรา 69
(2) หลักทรัพย์จดทะเบียนที่เป็นหลักทรัพย์อ้างอิงของใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยที่เสนอขาย
(3) ข้อกําหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ได้รับอนุญาตและผู้ถือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย
ข้อ ๖ เมื่อสํานักงานได้รับแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนแล้ว ให้แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนดังกล่าวมีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันที่สํานักงานได้รับแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนดังกล่าว
ข้อ ๗ ผู้ได้รับอนุญาตจะออกใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยให้แก่ผู้ถือได้ ต่อเมื่อผู้ได้รับอนุญาตสามารถซื้อหลักทรัพย์อ้างอิงที่รองรับใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยนั้นได้แล้ว
ข้อ ๘ ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยที่ผู้ได้รับอนุญาตจะเสนอขาย ต้องมีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเท่านั้น
หมวด ๓ หน้าที่ภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๙ ผู้ได้รับอนุญาตมีหน้าที่ต้องจัดทําและส่งสําเนางบดุลต่อสํานักงานภายในระยะเวลาเดียวกับที่ผู้ได้รับอนุญาตมีหน้าที่ต้องจัดทําและส่งต่อนายทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่มีข้อมูลใดเปลี่ยนแปลงจากแบบแสดงรายการข้อมูลที่ผู้ได้รับอนุญาตได้ยื่นไว้ตามข้อ 5 ให้ผู้ได้รับอนุญาตแจ้งข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพื่อปรับปรุงข้อมูลตามแบบแสดงรายการข้อมูลที่ผู้ได้รับอนุญาตได้ยื่นไว้ให้เป็นปัจจุบัน ต่อสํานักงานโดยเร็ว
ข้อ ๑๑ ผู้ได้รับอนุญาตต้องไม่ใช้สิทธิออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์อ้างอิง เว้นแต่เป็นการออกเสียงเพื่อพิจารณามติเกี่ยวกับการเพิกถอนหลักทรัพย์อ้างอิงจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๑๒ ผู้ได้รับอนุญาตจะซื้อคืนใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยได้ ต่อเมื่อผู้ได้รับอนุญาตสามารถขายหลักทรัพย์อ้างอิงที่รองรับใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยนั้นได้แล้ว โดยราคาที่ซื้อคืนจะต้องเท่ากับราคาที่ขายหลักทรัพย์อ้างอิงดังกล่าว
หมวด ๔ บทเฉพาะกาล
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๑๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 35/2543 เรื่อง การเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2543 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 35/2543 เรื่อง การเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2543 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 35/2543 เรื่อง การเสนอขายใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยโดยบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2543 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,833 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 49/2548 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจำกัดการโอนหุ้นกู้ (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 49/2548
เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้
(ฉบับที่ 2)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 45 มาตรา 48 และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความใน (3) ของข้อ 2 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 51/2545 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(3) ผู้บริหารและผู้มีอํานาจควบคุมไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ โดยอนุโลม”
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
###### ประกาศ ณ วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2548
(นายทนง พิทยะ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,834 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 34/2549 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจำกัดการโอนหุ้นกู้ (ฉบับที่ 3)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 34/2549
เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้
(ฉบับที่ 3)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความใน (1) ของข้อ 1 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 51/2545 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) คําว่า “บริษัทจดทะเบียน” “ผู้บริหาร” และ “ผู้มีอํานาจควบคุม” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการยื่นและการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความใน (5) ของข้อ 3 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 51/2545 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(5) เอกสารที่มีข้อมูลอย่างเดียวกับแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ 69-SR ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการยื่นและการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ (เฉพาะกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ยังไม่มีหน้าที่ตามมาตรา 56 หรือมาตรา 199 ประกอบมาตรา 56 แล้วแต่กรณี ในขณะที่ขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้)”
ข้อ 3 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
(หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,835 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 33/2552 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจำกัดการโอนหุ้นกู้
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 33/2552
เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 35 และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) คําว่า “บริษัทจดทะเบียน” “ผู้บริหาร” และ “ผู้มีอํานาจควบคุม” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามในประกาศเกี่ยวกับการออกและเสนอขายตราสารหนี้ทุกประเภท
(2) “ข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้” หมายความว่า ข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ที่บริษัทที่ออกหุ้นกู้ดังกล่าวได้จดไว้ต่อสํานักงาน
(3) “บริษัท” หมายความว่า บริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัด
(4) “ข้อกําหนดสิทธิ” หมายความว่า ข้อกําหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้
ข้อ ๒ การขออนุญาตยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ที่ได้ออกและเสนอขายต่อประชาชนหรือบุคคลใดไปแล้วจะกระทําได้ภายใต้หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) หุ้นกู้ที่จะขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนต้องเป็นหุ้นกู้ที่มีลักษณะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(ก) เป็นหุ้นกู้ที่ได้รับอนุญาตให้ออกและเสนอขายตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 13/2537 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ ลงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2537
(ข) เป็นหุ้นกู้ที่จัดให้มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานแล้ว เว้นแต่เป็นหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ําประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ตามวรรคหนึ่งจะต้องมีอยู่จนกว่าสิทธิเรียกร้องตามหุ้นกู้จะระงับลง เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นและสมควร สํานักงานอาจผ่อนผันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ โดยกําหนดเงื่อนเวลาหรือเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้ ทั้งนี้ โดยคํานึงถึงความจําเป็นของผู้ลงทุนในการมีข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น
(ค) เป็นหุ้นกู้ซึ่งมีข้อกําหนดสิทธิที่มีรายการอย่างน้อยตามมาตรา 42(1) ถึง (9) และ
(ง) เป็นหุ้นกู้ที่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน
(2) บริษัทที่ออกหุ้นกู้มีการเปิดเผยข้อมูลในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) เป็นบริษัทที่มีหน้าที่ตามมาตรา 56 หรือมาตรา 199 ประกอบมาตรา 56 แล้วแต่กรณี ในขณะที่ขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ และไม่อยู่ระหว่างค้างการนําส่งงบการเงินหรือรายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทต่อสํานักงานหรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามมาตราดังกล่าว หรือไม่อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขงบการเงินหรือรายงานที่มีหน้าที่ต้องจัดทําและจัดส่งตามมาตรา 56 หรือมาตรา 57 หรือมาตรา 199 ประกอบมาตรา 56 หรือมาตรา 57 ตามที่สํานักงานหรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแจ้งให้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขนั้น หรือไม่อยู่ระหว่างการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคําสั่งของสํานักงานหรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามมาตรา 58 หรือมาตรา 199 ประกอบมาตรา 58 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ เว้นแต่ได้รับการผ่อนผันจากสํานักงาน
(ข) มิใช่บริษัทที่มีหน้าที่ตามมาตรา 56 หรือมาตรา 199 ประกอบมาตรา 56
แล้วแต่กรณี อยู่ก่อน แต่ได้ยื่นเอกสารตามข้อ 3(5) ต่อสํานักงานพร้อมกับการยื่นคําขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ เพื่อประโยชน์ในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับงบการเงินหรือรายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทต่อสาธารณชน และได้รับทราบและผูกพันที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามความในมาตรา 56 เริ่มตั้งแต่วันที่บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ได้ยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้นั้นตามที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงาน
(3) กรรมการ ผู้บริหาร และผู้มีอํานาจควบคุมไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยข้อกําหนดเกี่ยวกับกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ โดยอนุโลม
ข้อ ๓ ให้บริษัทที่ออกหุ้นกู้ที่ประสงค์จะยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ยื่นเอกสารดังต่อไปนี้ พร้อมทั้งชําระค่าธรรมเนียมในวันที่ยื่นคําขอ ทั้งนี้ ตามอัตราที่กําหนดไว้ในประกาคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ และการขออนุมัติโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
(1) คําขออนุญาตยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ตามแบบที่สํานักงานประกาศกําหนด
(2) สําเนาข้อกําหนดสิทธิของหุ้นกู้ที่จะขอยกเลิกข้อจํากัดการโอน
(3) สําเนาสัญญาแต่งตั้งผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
(4) รายงานวิเคราะห์การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ประสงค์จะยกเลิกข้อจํากัดการโอน
(5) เอกสารที่มีข้อมูลอย่างเดียวกับแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ 69-Base ตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ (เฉพาะกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ยังไม่มีหน้าที่ตามมาตรา 56 หรือมาตรา 199 ประกอบมาตรา 56 แล้วแต่กรณี ในขณะที่ขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้)
ข้อ ๔ ให้สํานักงานแจ้งผลการพิจารณาคําขอภายในระยะเวลาดังต่อไปนี้
(1) สิบห้าวัน กรณีบริษัทที่ออกหุ้นกู้มีลักษณะตามข้อ 2(2) (ก)
(2) สามสิบวัน กรณีบริษัทที่ออกหุ้นกู้มีลักษณะตามข้อ 2(2) (ข)
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้นับแต่วันที่สํานักงานได้รับคําขอพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน
ข้อ ๕ บริษัทที่ออกหุ้นกู้ที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานให้ยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ตามประกาศนี้ ต้องดําเนินการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกําหนดสิทธิหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนดําเนินการอื่นใดเพื่อให้การยกเลิกข้อจํากัดการโอนมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ให้แล้วเสร็จภายในหกเดือนนับแต่วันที่สํานักงานแจ้งผลการอนุญาต และให้การอนุญาตให้ยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ตามประกาศนี้ สิ้นสุดลงหากบริษัทที่ออกหุ้นกู้มิได้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว
ข้อ ๖ ในกรณีที่บริษัทที่ออกหุ้นกู้ได้ดําเนินการตามข้อ 5 แล้ว ให้บริษัทที่ออกหุ้นกู้รายงานผลการดําเนินการดังกล่าวเป็นหนังสือต่อสํานักงานภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ดําเนินการแล้วเสร็จ พร้อมกับเอกสารดังต่อไปนี้
(1) ตัวอย่างใบหุ้นกู้
(2) สําเนาหนังสือแจ้งนายทะเบียนและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องถึงการยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ (ถ้ามี)
(3) สําเนามติที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
(4) เอกสารหลักฐานที่แสดงว่าการยกเลิกข้อจํากัดการโอนได้ดําเนินการตามที่กําหนดไว้ในข้อกําหนดสิทธิแล้ว
ข้อ ๗ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 51/2545 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๘ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 51/2545 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ที่ออกใหม่ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ซึ่งการจดข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้ในวงจํากัด และในการยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ดังกล่าวต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนกําหนด จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 51/2545 เรื่อง การขอยกเลิกข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,836 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 36/2552 เรื่อง รายการในใบหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 36/2552
เรื่อง รายการในใบหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 40(11) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“หุ้นกู้ด้อยสิทธิ” หมายความว่า หุ้นกู้ที่มีการกําหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ไว้ด้อยกว่าสิทธิของเจ้าหนี้สามัญทั่วไป
ข้อ ๒ ใบหุ้นกู้ด้อยสิทธินอกจากจะต้องมีรายการตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 40 แล้ว ยังต้องมีรายการดังต่อไปนี้ด้วย
(1) คําบอกชื่อว่าเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
(2) สาระสําคัญของหุ้นกู้ด้อยสิทธิเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ออกหุ้นกู้กับผู้ถือหุ้นกู้ในเรื่องการรับชําระหนี้ตามหุ้นกู้ด้อยสิทธิ โดยต้องระบุกรณีที่ทําให้ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญทั่วไปด้วย
(3) ข้อความที่แสดงว่าผู้ถือหุ้นกู้ยินยอมผูกพันตามสาระสําคัญของหุ้นกู้ด้อยสิทธินั้น
(4) ข้อจํากัดการโอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิ (ถ้ามี)
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง รายการในใบหุ้นกู้ด้อยสิทธิ พ.ศ. 2536 ลงวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง รายการในใบหุ้นกู้ด้อยสิทธิ พ.ศ. 2536 ลงวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2536 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ให้การกําหนดรายการในใบหุ้นกู้ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง รายการในใบหุ้นกู้ด้อยสิทธิ พ.ศ. 2536 ลงวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2536 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,837 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 38/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยรายงานหรือข้อมูลต่อประชาชน
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทจ. 38/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยรายงานหรือข้อมูลต่อประชาชน
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การเปิดเผยรายงานหรือข้อมูลต่อประชาชนเกี่ยวกับฐานะและผลการดําเนินงานของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์รวมทั้งการถือหลักทรัพย์ในบริษัทดังกล่าวที่สํานักงานได้รับตามมาตรา 56 มาตรา 57 มาตรา 58 และมาตรา 59 ให้ดําเนินการได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้
(1) การเปิดเผยรายงานหรือข้อมูลที่มีผู้ขอตรวจ ถ่ายเอกสาร หรือคัดสําเนาพร้อมคํารับรองในเอกสารใด ๆ เกี่ยวกับรายงานหรือข้อมูล ให้กระทําในวันและเวลาทําการ ณ สํานักงาน โดยปฏิบัติตามระเบียบที่สํานักงานกําหนด
(2) ในกรณีที่สํานักงานเห็นว่ารายงานหรือข้อมูลใดสมควรเปิดเผยให้ทราบทั่วกันอย่างแพร่หลาย สํานักงานอาจเผยแพร่รายงานหรือข้อมูลนั้นต่อประชาชนตามวิธีการอื่นใดที่เห็นสมควรได้
ข้อ ๒ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ระเบียบ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยรายงานหรือข้อมูลต่อประชาชน ลงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ ระเบียบ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๓ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยรายงานหรือข้อมูลต่อประชาชน ลงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2536 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ในการเปิดเผยรายงานหรือข้อมูลต่อประชาชน เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยรายงานหรือข้อมูลต่อประชาชน ลงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2536 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,838 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทน. 41/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขออนุญาตและการอนุญาต ให้บริษัทจัดการมีสำนักงานสาขา
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทน. 41/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขออนุญาตและการอนุญาต
ให้บริษัทจัดการมีสํานักงานสาขา
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 92 วรรคสอง มาตรา 100 วรรคสอง และมาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 133 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทจัดการกองทุนรวม หรือบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคล
(2) “บริษัทจัดการกองทุนรวม” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
(3) “บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคล” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
(4) “กองทุน” หมายความว่า กองทุนรวมหรือกองทุนส่วนบุคคล
(5) “สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๒ ประกาศนี้ไม่ใช้บังคับกับบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่เป็นสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่น โดยการจัดตั้งสํานักงานสาขาของบริษัทดังกล่าวให้เป็นตามกฎหมายอื่นนั้น ทั้งนี้ ตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 92 วรรคสาม
ข้อ ๓ บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทอื่นอยู่ด้วย หากบริษัทดังกล่าวได้รับอนุญาตจากสํานักงานให้ตั้งสาขาเต็มรูปแบบสําหรับธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทอื่นนั้นแล้ว ให้สํานักงานอนุญาตให้สาขาเต็มรูปแบบดังกล่าวให้บริการลูกค้าสําหรับธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคลด้วย
ข้อ ๔ บริษัทจัดการรายใดที่ประสงค์จะมีสํานักงานสาขา ให้บริษัทจัดการนั้นยื่นคําขออนุญาตต่อสํานักงานตามแบบและวิธีการที่สํานักงานกําหนด โดยสํานักงานจะอนุญาตให้บริษัทจัดการมีสํานักงานสาขาได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) บริษัทจัดการมีฐานะการเงินที่เหมาะสม
(2) บริษัทจัดการไม่มีพฤติกรรมและประวัติที่ไม่เหมาะสมต่อการขยายธุรกิจด้วยการมีสํานักงานสาขา หรือที่อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในการประกอบธุรกิจการจัดการกองทุน
(3) บริษัทจัดการแสดงให้เห็นได้ว่ามีการจัดเตรียมระบบงานสําหรับสํานักงานสาขาที่ขออนุญาตอย่างเหมาะสมต่อการให้บริการลูกค้า โดยระบบงานที่เตรียมนั้นต้องสอดคล้องต่อการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสํานักงานใหญ่สามารถควบคุมดูแลระบบงานและการให้บริการของสํานักงานสาขาที่ขออนุญาตนั้นได้
ข้อ ๕ ในการอนุญาตให้มีสํานักงานสาขา สํานักงานอาจกําหนดเงื่อนไขดังต่อไปนี้ให้บริษัทจัดการปฏิบัติได้
(1) ขอบเขตการดําเนินงานของสํานักงานสาขาที่อนุญาตนั้นตามความเหมาะสม
(2) การดําเนินการของบริษัทจัดการเพื่อเตรียมความพร้อมหรือเพื่อให้สํานักงานตรวจความพร้อมก่อนเริ่มเปิดดําเนินการ
(3) การจัดสถานที่เพื่อเป็นสํานักงานสาขาหรือบุคลากรประจําสํานักงานสาขา ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุนในการติดต่อกับสํานักงานสาขาและเพื่อประโยชน์ในการที่สํานักงานจะตรวจสอบการดําเนินงานของสํานักงานสาขาให้เป็นไปตามกฎหมาย
(4) เงื่อนไขก่อนหรือภายหลังการปิดสํานักงานสาขา
ข้อ ๖ ในการให้บริการของสํานักงานสาขา หากจะมีการมอบหมายการดําเนินการของสํานักงานสาขาให้บุคคลอื่นดําเนินการแทน จะต้องได้รับอนุญาตจากสํานักงานก่อน และสํานักงานจะอนุญาตได้ต่อเมื่อมีความจําเป็นโดยสภาพที่สํานักงานสาขาไม่อาจดําเนินการเช่นนั้นได้ด้วยตนเองหรือการมอบหมายนั้นจะทําให้การให้บริการของสํานักงานสาขามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ข้อ ๗ ในกรณีที่ปรากฏว่าการให้บริการของสํานักงานสาขาอาจก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่ผู้ลงทุน หรือการเปิดสํานักงานสาขานั้นต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทจัดการ หรือบริษัทจัดการไม่สามารถดํารงลักษณะตามข้อ 4 ได้ ให้สํานักงานมีอํานาจสั่งปิดการให้บริการสํานักงานสาขานั้นเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้หรือจะสั่งห้ามการมีสํานักงานสาขาเพิ่มเติมก็ได้
ข้อ ๘ บริษัทจัดการรายใดที่มีการให้บริการในรูปแบบสํานักงานบริการหรือสํานักงานสาขาซึ่งได้รับอนุญาตจากสํานักงานตามประกาศดังต่อไปนี้ อยู่ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ให้ถือว่าสํานักงานบริการหรือสํานักงานสาขาดังกล่าวเป็นสํานักงานสาขาที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานตามประกาศนี้แล้วโดยยังคงให้บริการต่อไปได้ตามขอบเขตกิจการที่กําหนดไว้ในขณะที่ได้รับอนุญาต และต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประกาศนี้และประกาศสํานักงานที่เกี่ยวข้องกับประกาศนี้
(1) ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 10/2540 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขออนุญาตและการอนุญาตมีสํานักงานบริการด้านธุรกิจจัดการลงทุน ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540
(2) ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 2/2550 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขออนุญาตและการอนุญาตให้บริษัทจัดการมีสํานักงานสาขา ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2550
ข้อ ๙ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 2/2550 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขออนุญาตและการอนุญาตให้บริษัทจัดการมีสํานักงานสาขา ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 2/2550 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขออนุญาตและการอนุญาตให้บริษัทจัดการมีสํานักงานสาขา ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๑๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาตและการอนุญาตให้บริษัทจัดการมีสํานักงานสาขา เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 2/2550 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขออนุญาตและการอนุญาตให้บริษัทจัดการมีสํานักงานสาขา ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,839 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทน. 42/2552 เรื่อง การทำประกันภัยความรับผิดของบริษัทจัดการ และข้อกำหนดสำหรับบริษัทจัดการในการดำรงความเพียงพอของเงินกองทุน
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทน. 42/2552
เรื่อง การทําประกันภัยความรับผิดของบริษัทจัดการ และข้อกําหนด
สําหรับบริษัทจัดการในการดํารงความเพียงพอของเงินกองทุน
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 109 มาตรา 117 และมาตรา 143 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 133 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
(1) “บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทจัดการกองทุนรวม และบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคล
(2) “บริษัทจัดการกองทุนรวม” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
(3) “บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคล” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
(4) “ผู้บริหาร” หมายความว่า ผู้จัดการ หรือบุคคลผู้รับผิดชอบในการดําเนินงานของบริษัทจัดการ
(5) “ส่วนของผู้ถือหุ้น” หมายความว่า ส่วนของผู้ถือหุ้นที่ปรากฏในงบการเงินของบริษัทจัดการ ซึ่งมีวิธีการคํานวณตามมาตรฐานการบัญชี
(6) “กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ” หมายความว่า กองทุนสํารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ
(7) “ลูกค้า” หมายความว่า บุคคลที่มอบหมายให้บริษัทจัดการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
หมวด ๑ บริษัทจัดการกองทุนรวม
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๓ ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมจัดให้มีการประกันภัยสําหรับความรับผิดที่เกิดขึ้นจากการดําเนินธุรกิจหรือการปฏิบัติงานของบริษัทจัดการกองทุนรวม ผู้บริหาร กรรมการ และพนักงาน
ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทุกกองทุนรวมซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการ ณ วันทําการสุดท้ายก่อนวันทําสัญญาประกันภัยดังกล่าว ไม่เกินสองหมื่นห้าพันล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจัดการกองทุนรวมต่ํากว่าหนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาท ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมดังกล่าวจัดทําประกันภัยในวงเงินไม่น้อยกว่าส่วนต่างของเงินจํานวนหนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาทหักด้วยมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจัดการกองทุนรวมนั้น
(2) ในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทุกกองทุนรวมซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการ ณ วันทําการสุดท้ายก่อนวันทําสัญญาประกันภัยดังกล่าว มากกว่าสองหมื่นห้าพันล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจัดการกองทุนรวมต่ํากว่าสองร้อยยี่สิบล้านบาท ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมดังกล่าวจัดทําประกันภัยในวงเงินไม่น้อยกว่าส่วนต่างของเงินจํานวนสองร้อยยี่สิบล้านบาทหักด้วยมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจัดการกองทุนรวมนั้น
ในกรณีที่บริษัทจัดการกองทุนรวมมีการจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่เป็นกองทุนสํารองเลี้ยงชีพอยู่ด้วย ให้คํานวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทุกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพรวมเข้าในมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมตามวรรคหนึ่งด้วย
ข้อ ๔ ในกรณีที่บริษัทจัดการกองทุนรวมมีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ํากว่าสามสิบล้านบาทแต่ไม่น้อยกว่ายี่สิบล้านบาท ณ วันสุดท้ายของเดือนใด ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมดังกล่าวปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) รายงานส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสํานักงานภายในวันทําการถัดจากวันที่บริษัทจัดการกองทุนรวมรู้หรืออาจรู้ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นต่ํากว่าจํานวนดังกล่าว
(2) จัดทําแผนการปรับปรุงเพื่อให้มีส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ต่ํากว่าสามสิบล้านบาท และให้ยื่นต่อสํานักงานภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่บริษัทจัดการกองทุนรวมรู้หรืออาจรู้ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นต่ํากว่าจํานวนดังกล่าว เว้นแต่ก่อนพ้นกําหนดเวลา บริษัทจัดการกองทุนรวมสามารถเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นให้เป็นไปตามจํานวนดังกล่าวได้
(3) ดําเนินการเพื่อให้เป็นไปตามแผนการปรับปรุงที่ได้ยื่นต่อสํานักงานตาม (2) และรายงานความคืบหน้าในการดําเนินการตามแผนดังกล่าว ตลอดจนรายงานส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันสุดท้ายของเดือนต่อสํานักงานภายในวันทําการที่เจ็ดของเดือนถัดไป ทั้งนี้ จนกว่าบริษัทจัดการกองทุนรวมจะมีส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ต่ํากว่าสามสิบล้านบาท
ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมแจ้งต่อสํานักงานเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันทําการถัดจากวันที่บริษัทจัดการกองทุนรวมนั้นสามารถปรับปรุงส่วนของผู้ถือหุ้นได้โดยมีจํานวนไม่ต่ํากว่าสามสิบล้านบาท
ข้อ ๕ ในกรณีที่บริษัทจัดการกองทุนรวมไม่สามารถดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนของบริษัทจัดการ ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) รายงานต่อสํานักงานภายในวันทําการถัดจากวันที่บริษัทจัดการกองทุนรวมรู้หรืออาจรู้ถึงการไม่สามารถดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนดังกล่าว
(2) เปลี่ยนให้บริษัทจัดการกองทุนรวมรายอื่นเข้าจัดการกองทุนรวม หรือโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามวิธีการที่กําหนดไว้ในข้อ 6 ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่บริษัทจัดการกองทุนรวมรู้หรืออาจรู้ถึงการไม่สามารถดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนดังกล่าว เว้นแต่มีเหตุจําเป็นและสมควร สํานักงานอาจพิจารณาขยายระยะเวลาออกไปได้ ทั้งนี้ การคัดเลือกบริษัทจัดการกองทุนรวมรายใหม่ต้องคํานึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นสําคัญ และในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนบริษัทจัดการกองทุนรวม บริษัทจัดการกองทุนรวมรายเดิมต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าว
หากบริษัทจัดการกองทุนรวมไม่สามารถดําเนินการภายในระยะเวลาที่กําหนดตามวรรคหนึ่ง ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมดําเนินการเลิกกองทุนรวม ทั้งนี้ ไม่รวมถึงโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(3) ระงับการประกอบธุรกิจการจัดการกองทุนรวมจนกว่าจะสามารถดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนของบริษัทจัดการ และได้รับอนุญาตจากสํานักงานให้ดําเนินธุรกิจได้ตามปกติ เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นและสมควรเพื่อป้องกันมิให้มูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวมซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการได้รับความเสียหาย เพื่อใช้สิทธิเพื่อประโยชน์ของกองทุนรวมในฐานะที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ลงทุน หรือเพื่อเปลี่ยนตั๋วเงินที่ครบกําหนดไถ่ถอนกับบริษัทเงินทุนที่เป็นผู้ออกตั๋วเงินดังกล่าว
(4) กระทําการหรืองดเว้นการกระทําอื่นใดตามที่สํานักงานมีคําสั่ง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเพียงพอของเงินกองทุนหรือการปฏิบัติตามข้อกําหนดในข้อนี้สามารถดําเนินการได้อย่างลุล่วง หรือเพื่อดําเนินการเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัทจัดการกองทุนรวม
ข้อ ๖ ในการเปลี่ยนบริษัทจัดการกองทุนรวมตามข้อ 5(2) ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมดําเนินการด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) ขอรับความเห็นชอบจากสํานักงาน
(2) ขอมติโดยเสียงข้างมากของผู้ถือหน่วยลงทุนซึ่งคิดตามจํานวนหน่วยลงทุนรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของจํานวนหน่วยลงทุนที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกองทุนรวมนั้น
หมวด ๒ บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคล
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๗ ให้บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลซึ่งจัดการกองทุนสํารองเลี้ยงชีพอยู่ด้วยจัดให้มีการประกันภัยสําหรับความรับผิดที่เกิดขึ้นจากการดําเนินธุรกิจหรือการปฏิบัติงานของ
บริษัทจัดการ ผู้บริหาร กรรมการ และพนักงาน โดยให้นําความในข้อ 3 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ความในวรรคหนึ่งมิให้นํามาใช้บังคับกับบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่มีการกํากับดูแลฐานะตามกฎหมายอื่นหรือที่ต้องดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว
ข้อ ๘ ในกรณีดังต่อไปนี้ ให้บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลปฏิบัติตามข้อ 4 วรรคหนึ่ง โดยอนุโลม
(1) บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลซึ่งจัดการกองทุนสํารองเลี้ยงชีพอยู่ด้วย มีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ํากว่าสามสิบล้านบาทแต่ไม่น้อยกว่ายี่สิบล้านบาท ณ วันสุดท้ายของเดือนใด
(2) บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลซึ่งไม่ได้จัดการกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ มีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ํากว่าสิบห้าล้านบาทแต่ไม่น้อยกว่าสิบล้านบาท ณ วันสุดท้ายของเดือนใด
ความในวรรคหนึ่งมิให้นํามาใช้บังคับกับบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่มีการกํากับดูแลฐานะตามกฎหมายอื่นหรือที่ต้องดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว
ข้อ ๙ เมื่อบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่มีหน้าที่ตามข้อ 8 ปรับปรุงส่วนของผู้ถือหุ้นได้ตามจํานวนดังต่อไปนี้ ให้แจ้งต่อสํานักงานเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันทําการถัดจากวันที่บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลนั้นสามารถปรับปรุงส่วนของผู้ถือหุ้นดังกล่าวได้
(1) ไม่ต่ํากว่าสามสิบล้านบาท ในกรณีของบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลซึ่งจัดการกองทุนสํารองเลี้ยงชีพอยู่ด้วย
(2) ไม่ต่ํากว่าสิบห้าล้านบาท ในกรณีของบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลซึ่งไม่ได้จัดการกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลไม่สามารถดํารงความเพียงพอของ
เงินกองทุนตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนของบริษัทจัดการ ให้บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) รายงานต่อสํานักงานภายในวันทําการถัดจากวันที่บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลรู้หรืออาจรู้ถึงการไม่สามารถดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนดังกล่าว
(2) รายงานให้ลูกค้าทราบถึงการไม่สามารถดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนภายในวันทําการถัดจากวันที่บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลรู้หรืออาจรู้ถึงการไม่สามารถดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนดังกล่าว
(3) ห้ามมิให้บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลทําสัญญารับจัดการกองทุนส่วนบุคคลกับลูกค้ารายใหม่ หรือยอมให้ลูกค้าเพิ่มเงินทุนของกองทุนส่วนบุคคล หรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อความ
ในสัญญากับลูกค้ารายเดิมอันอาจส่งผลกระทบต่อความเพียงพอของเงินกองทุน แต่ไม่รวมถึง
(ก) การรับบริหารเงินสะสมและเงินสมทบของกองทุนสํารองเลี้ยงชีพที่เป็นลูกค้าอยู่แล้วในขณะนั้น และ
(ข) การจ่ายเงินให้แก่สมาชิกของกองทุนสํารองเลี้ยงชีพที่สิ้นสมาชิกภาพ
(4) หากบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลได้รับแจ้งจากลูกค้าว่าประสงค์จะเปลี่ยนบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลเป็นรายอื่น ให้บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลเปลี่ยนให้บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลรายอื่นเข้าจัดการกองทุนส่วนบุคคล ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากลูกค้า ทั้งนี้ ในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคล ให้บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลรายเดิมเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าว
(5) กระทําการหรืองดเว้นการกระทําอื่นใดตามที่สํานักงานมีคําสั่ง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเพียงพอของเงินกองทุนหรือการปฏิบัติตามข้อกําหนดในข้อนี้สามารถดําเนินการได้อย่างลุล่วง หรือเพื่อดําเนินการเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคล
หมวด ๓ บทเฉพาะกาล
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
ข้อ ๑๑ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 13/2548 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนและการทําประกันภัยความรับผิดของบริษัทจัดการ ลงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2548 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง หรือหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๑๒ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 13/2548 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนและการทําประกันภัยความรับผิดของบริษัทจัดการ ลงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2548 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการแก้ประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้อํานาจสั่งการในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์มีฐานะอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชน และการออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ การจัดการกองทุนรวม และการจัดการกองทุนส่วนบุคคล เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อรองรับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 13/2548 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดํารงความเพียงพอของเงินกองทุนและการทําประกันภัยความรับผิดของบริษัทจัดการ ลงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2548 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,840 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 44/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อบริษัทหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 44/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการลงทุนในหลักทรัพย์
เพื่อบริษัทหลักทรัพย์
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(3) และมาตรา 98(7) (ข) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทดังนี้ แต่ไม่รวมถึงสถาบันการเงินที่จัดตั้งตามกฎหมายอื่นและได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
(1) การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์
(2) การค้าหลักทรัพย์
(3) การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
(4) การจัดจําหน่ายหลักทรัพย์
“รายงานการวิเคราะห์หลักทรัพย์” หมายความว่า บทความหรืองานวิจัยที่บริษัทหลักทรัพย์จัดทําขึ้นเพื่อให้คําแนะนําแก่ผู้ลงทุนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เกี่ยวกับคุณค่าของหลักทรัพย์ ความเหมาะสมในการลงทุนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์ หรือบริษัทที่ออกหลักทรัพย์
ข้อ ๒ ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์มีการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อบัญชีของบริษัท ให้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหรือมีหุ้นได้โดยถือว่าได้รับผ่อนผันจากสํานักงานตามมาตรา 98(7) (ข) แล้ว แต่ในกรณีที่การลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการประกอบกิจการอื่นของบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 98(8) ด้วย
ข้อ ๓ ในการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีของบริษัท บริษัทหลักทรัพย์ต้องคํานึงถึงประโยชน์ของลูกค้าก่อนประโยชน์ของบริษัทหลักทรัพย์ โดยต้องซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีของลูกค้าก่อนบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ เว้นแต่คําสั่งของลูกค้าจะกําหนดเงื่อนไขในการซื้อขายหลักทรัพย์ไว้ชัดเจนเป็นอย่างอื่น
ข้อ ๔ ห้ามมิให้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหรือขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีของบริษัทโดยแสวงหาประโยชน์จากการเป็นผู้จัดทํารายงานการวิเคราะห์หลักทรัพย์ในลักษณะที่เป็นการเอาเปรียบผู้ลงทุน
ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าบริษัทหลักทรัพย์ซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการเป็นผู้จัดทํารายงานการวิเคราะห์หลักทรัพย์ในลักษณะที่เป็นการเอาเปรียบผู้ลงทุนตามวรรคหนึ่งด้วย เว้นแต่บริษัทหลักทรัพย์จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุจําเป็นและสมควร และการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ดังกล่าวมิได้มีเจตนาแสวงหาประโยชน์ในลักษณะที่เป็นการเอาเปรียบผู้ลงทุน
(1) บริษัทหลักทรัพย์มีการซื้อหรือขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีของบริษัทในระหว่างการจัดทํารายงานการวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือภายในสามวันทําการตั้งแต่วันที่รายงานการวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้เผยแพร่ต่อผู้ลงทุน และ
(2) บริษัทหลักทรัพย์ไม่มีระเบียบวิธีปฏิบัติหรือไม่ได้ควบคุมดูแลให้มีการปฏิบัติตามระเบียบวิธีปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับระบบป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือระบบป้องกันการล่วงรู้ข้อมูลอันมิพึงเปิดเผยระหว่างหน่วยงานและบุคลากรของบริษัทหลักทรัพย์ตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการจัดให้มีระบบงานสําหรับการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อบริษัทหลักทรัพย์อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ
ข้อ ๕ บริษัทหลักทรัพย์ต้องควบคุมดูแลให้พนักงานปฏิบัติตามประกาศนี้ด้วย
ข้อ ๖ บริษัทหลักทรัพย์ต้องจัดทําและเก็บรักษาเอกสารหรือรายงานเกี่ยวกับข้อมูลเชิงวิเคราะห์ที่ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์และรายงานเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีของบริษัทไว้อย่างครบถ้วนเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองปีนับแต่วันที่มีการจัดทําเอกสารหรือรายงาน
ข้อ ๗ บริษัทหลักทรัพย์ใดไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้ หรือสํานักงานเห็นว่าบริษัทหลักทรัพย์อาจได้รับความเสียหายจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ให้สํานักงานมีอํานาจสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์นั้นแก้ไข กระทําการ หรืองดเว้นกระทําการใด ๆ เกี่ยวกับการซื้อหรือขายหรือมีหลักทรัพย์เพื่อการลงทุน การเปิดเผยข้อมูล หรือการกระทําอื่นที่เกี่ยวข้องได้
ข้อ ๘ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 38/2546 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนด
แห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๙ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 38/2546 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๑๐ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และ
ตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ห้ามบริษัทหลักทรัพย์
กระทําการใด ๆ อันมีลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือ
บุคคลที่เกี่ยวข้อง และหลักเกณฑ์ในการผ่อนผันให้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหรือมีหุ้น เป็นอํานาจ
ของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 38/2546 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการลงทุน
ในหลักทรัพย์เพื่อบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2546 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,841 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 46/2552 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 46/2552
เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์
ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(4) และ (8) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
(2) “ผู้ประกัน” หมายความว่า ผู้ที่ทําสัญญาประกันเพื่อผูกพันตนต่อผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมมีประกัน
(3) “กองทุนรวมมีประกัน” หมายความว่า กองทุนรวมที่บริษัทจัดการจัดให้มีบุคคลที่ประกันต่อผู้ถือหน่วยลงทุนซึ่งได้ถือหน่วยลงทุนจนครบตามระยะเวลาที่กําหนดว่าจะได้รับชําระเงินลงทุน หรือเงินลงทุนและผลตอบแทน จากการไถ่ถอนหรือการขายคืนหน่วยลงทุน แล้วแต่กรณี ตามจํานวนเงินที่ประกันไว้
(4) “บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
ข้อ ๒ บริษัทหลักทรัพย์ที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) สามารถดํารงเงินกองทุนได้ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดํารงเงินกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
(2) มีนโยบายและมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยง และการจัดการด้านการปฏิบัติการที่เพียงพอ สําหรับการประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกัน
(3) มีมาตรการควบคุมภายในของการประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันที่มีประสิทธิภาพ
ข้อ ๓ ให้บริษัทหลักทรัพย์ประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันได้โดยถือว่าได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุนต่อเมื่อบริษัทหลักทรัพย์ได้จัดส่งรายละเอียดและขอบเขตการประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันและหลักฐานที่แสดงได้ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กําหนดในข้อ 2 ต่อคณะกรรมการกํากับตลาดทุนผ่านสํานักงาน และสํานักงานพิจารณาแล้วเห็นว่าบริษัทหลักทรัพย์มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กําหนดในข้อ 2
ข้อ ๔ บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตตามข้อ 3 ต้องดํารงคุณสมบัติตามที่กําหนดในข้อ 2 ตลอดเวลาที่ประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกัน
ข้อ ๕ ในกรณีที่สํานักงานพบว่าบริษัทหลักทรัพย์ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อ 4 ให้สํานักงานมีอํานาจสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์กระทําการหรืองดเว้นกระทําการอื่นใดที่จําเป็นเพื่อให้การดําเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์เป็นไปตามข้อกําหนดดังกล่าวภายในระยะเวลาและเงื่อนไขที่สํานักงานกําหนด หากบริษัทหลักทรัพย์ไม่สามารถดําเนินการดังกล่าวได้ ให้ถือว่าการอนุญาตของคณะกรรมการกํากับตลาดทุนเป็นอันสิ้นสุดลง
ข้อ ๖ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 21/2546 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันและการทําธุรกรรมด้านอนุพันธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2546 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียนที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๗ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 21/2546 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันและการทําธุรกรรมด้านอนุพันธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2546 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดห้ามบริษัทหลักทรัพย์ซื้อขายหลักทรัพย์ล่วงหน้าไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายในนามตนเองหรือลูกค้าและประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่ธุรกิจหลักทรัพย์ในประเภทที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนประกาศกําหนดหรืออนุญาตให้กระทําได้ จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 21/2546 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันและการทําธุรกรรมด้านอนุพันธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2546 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,842 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 101/2552 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 101/2552
เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์
ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
(ฉบับที่ 2)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(4) และ (8) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกํากับตลาดทุนออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในข้อ 2 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ที่ ทธ. 46/2552 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 2 บริษัทหลักทรัพย์ที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) สามารถดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิได้ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ
(2) มีนโยบายและมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยง และการจัดการด้านการปฏิบัติการที่เพียงพอ สําหรับการประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกัน
(3) มีมาตรการควบคุมภายในของการประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันที่มีประสิทธิภาพ”
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552
(นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับตลาดทุน
หมายเหตุ : เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ต้องดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ จึงเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติในการอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกัน เพื่อให้สอดคล้องกับการดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิดังกล่าว จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,843 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 46/2552 การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับประมวล)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 46/2552
เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์
ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์(ประมวล)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551และมาตรา 98(4) และ (8) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต.ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ในประกาศนี้
(1) “บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบ
ธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
(2) “ผู้ประกัน” หมายความว่า ผู้ที่ทําสัญญาประกันเพื่อผูกพันตนต่อผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมมีประกัน
(3) “กองทุนรวมมีประกัน” หมายความว่า กองทุนรวมที่บริษัทจัดการจัดให้มี
บุคคลที่ประกันต่อผู้ถือหน่วยลงทุนซึ่งได้ถือหน่วยลงทุนจนครบตามระยะเวลาที่กําหนดว่า
จะได้รับชําระเงินลงทุน หรือเงินลงทุนและผลตอบแทน จากการไถ่ถอนหรือการขายคืนหน่วยลงทุน
แล้วแต่กรณี ตามจํานวนเงินที่ประกันไว้
(4) “บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
[1](#fn1)ข้อ 2 บริษัทหลักทรัพย์ที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) สามารถดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิได้ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการดํารงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ
(2) มีนโยบายและมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยง และการจัดการ
ด้านการปฏิบัติการที่เพียงพอ สําหรับการประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกัน
(3) มีมาตรการควบคุมภายในของการประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของ
กองทุนรวมมีประกันที่มีประสิทธิภาพ
ข้อ 3 ให้บริษัทหลักทรัพย์ประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวม
มีประกันได้โดยถือว่าได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุนต่อเมื่อบริษัทหลักทรัพย์ได้จัดส่งรายละเอียดและขอบเขตการประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันและหลักฐาน
ที่แสดงได้ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กําหนดในข้อ 2 ต่อคณะกรรมการกํากับตลาดทุนผ่านสํานักงาน
และสํานักงานพิจารณาแล้วเห็นว่าบริษัทหลักทรัพย์มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กําหนดในข้อ 2
ข้อ 4 บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตตามข้อ 3 ต้องดํารงคุณสมบัติตามที่กําหนด
ในข้อ 2 ตลอดเวลาที่ประกอบกิจการการเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกัน
ข้อ 5 ในกรณีที่สํานักงานพบว่าบริษัทหลักทรัพย์ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อ 4
ให้สํานักงานมีอํานาจสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์กระทําการหรืองดเว้นกระทําการอื่นใดที่จําเป็นเพื่อให้
การดําเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์เป็นไปตามข้อกําหนดดังกล่าวภายในระยะเวลาและเงื่อนไข
ที่สํานักงานกําหนด หากบริษัทหลักทรัพย์ไม่สามารถดําเนินการดังกล่าวได้ ให้ถือว่าการอนุญาต
ของคณะกรรมการกํากับตลาดทุนเป็นอันสิ้นสุดลง
ข้อ 6 ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และ
ตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 21/2546 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันและการทําธุรกรรม
ด้านอนุพันธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 กันยายน
พ.ศ. 2546 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียนที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ 7 ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 21/2546 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันและการทําธุรกรรม
ด้านอนุพันธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 กันยายน
พ.ศ. 2546 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ 8 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
| | (นายวิจิตร สุพินิจ) |
| | ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ |
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
*หมายเหตุ* : เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดห้ามบริษัทหลักทรัพย์ซื้อขายหลักทรัพย์ล่วงหน้าไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย
ในนามตนเองหรือลูกค้าและประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่ธุรกิจหลักทรัพย์ในประเภทที่ได้รับอนุญาตเว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนประกาศกําหนดหรืออนุญาตให้กระทําได้ จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 21/2546 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของกองทุนรวมมีประกันและการทําธุรกรรมด้านอนุพันธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2546 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
1. ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ที่ ทธ. 46/2552 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของ
กองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ลงวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เล่ม ๑๒๖ ตอนพิเศษ ๑๒๓ ง
1. ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ที่ ทธ. 101/2552 เรื่อง การเป็นผู้ประกันของ
กองทุนรวมมีประกันของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์(ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เล่ม ๑๒๗ ตอนพิเศษ ๑ ง
---
1.
| 2,844 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 18/2551 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 18/2551
เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์
ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 98(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 1 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กด. 30/2540 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 1 ในประกาศนี้
(1) คําว่า “ลูกค้าสถาบัน” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามคําว่า “ผู้ลงทุนสถาบัน” ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 และประกาศที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
(2) “การขายชอร์ต” หมายความว่า การขายหลักทรัพย์ที่ต้องยืมหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ
(3) “ลูกค้า” หมายความว่า บุคคลที่มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์กระทําการซื้อขายหลักทรัพย์แทนตน
(4) “บัญชีมาร์จิ้น” หมายความว่า บัญชีที่บันทึกรายการการให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อการซื้อหลักทรัพย์หรือการให้ลูกค้ายืมหลักทรัพย์เพื่อการขายชอร์ต
(5) “ตลาดหลักทรัพย์” หมายความว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความใน (1) ของข้อ 3 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กด. 30/2540 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) การขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศกําหนดด้วยความเห็นชอบของสํานักงาน”
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความใน (2) ของข้อ 4 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กด. 30/2540 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(2) เรียกให้ลูกค้าวางหลักประกันตลอดจนจัดให้มีการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการให้ยืมหลักทรัพย์เพื่อการขายชอร์ตตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์จัดให้ลูกค้าทําการขายชอร์ตผ่านบัญชีมาร์จิ้น”
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคสองและวรรคสามของข้อ 5 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กด. 30/2540 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตตามคําสั่งของลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการจัดหาหลักทรัพย์ไว้ให้พร้อมเพื่อให้ลูกค้าดังกล่าวยืมหรือจัดหาแหล่งยืมหลักทรัพย์ไว้ให้พร้อมสําหรับลูกค้าดังกล่าว เว้นแต่ลูกค้าจะแสดงได้ว่าตนได้จัดให้มีการยืมหลักทรัพย์ไว้แล้วและสามารถส่งมอบหลักทรัพย์ตามรายการที่ขายชอร์ตได้ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กําหนดหรือภายในระยะเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี
การขายหลักทรัพย์ในกรณีใดมิได้แสดงว่าเป็นการขายชอร์ต แต่มีเหตุจําเป็นต้องยืมหลักทรัพย์เพื่อนํามาส่งมอบภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กําหนด บริษัทหลักทรัพย์ต้องยืมหลักทรัพย์หรือจัดให้ลูกค้ายืมหลักทรัพย์จากหรือผ่านศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ทั้งนี้ การยืมหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องแสดงได้ถึงเหตุจําเป็นตามลักษณะที่สํานักงานประกาศกําหนด”
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ -
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้คือ เพื่อขยายประเภทลูกค้าสถาบันให้ครอบคลุมกว้างขึ้น และผ่อนคลายหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขายชอร์ตเพื่อส่งเสริมให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถให้บริการได้ตรงตามความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,845 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 47/2552 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 47/2552
เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์
ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ที่ ทธ. 18/2551 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
(1) คําว่า “ลูกค้าสถาบัน” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามคําว่า “ผู้ลงทุนสถาบัน” ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 และประกาศที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
(2) “การขายชอร์ต” หมายความว่า การขายหลักทรัพย์ที่ต้องยืมหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ
(3) “ลูกค้า” หมายความว่า บุคคลที่มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์กระทําการซื้อขายหลักทรัพย์แทนตน
(4) “บัญชีมาร์จิ้น” หมายความว่า บัญชีที่บันทึกรายการการให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อการซื้อหลักทรัพย์หรือการให้ลูกค้ายืมหลักทรัพย์เพื่อการขายชอร์ต
(5) “ตลาดหลักทรัพย์” หมายความว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ข้อ ๓ ให้บริษัทหลักทรัพย์ขายหลักทรัพย์โดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์อยู่ในครอบครองได้เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(1) การขายชอร์ตในนามบริษัทหลักทรัพย์เองหรือตามคําสั่งของลูกค้าตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศนี้ หรือ
(2) การขายหลักทรัพย์ตามคําสั่งของลูกค้าโดยลูกค้ายังมิได้ส่งมอบการครอบครองหลักทรัพย์นั้นให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ในขณะที่ลูกค้ามีคําสั่งขาย แต่บริษัทหลักทรัพย์มั่นใจว่าลูกค้ามีหลักทรัพย์ของตนเอง ทั้งนี้ ไม่ว่าหลักทรัพย์นั้นจะอยู่ในความครอบครองของลูกค้า หรือฝากไว้กับบริษัทหลักทรัพย์อื่น หรือฝากไว้กับผู้ดูแลรักษาหลักทรัพย์
ข้อ ๔ ให้บริษัทหลักทรัพย์ทําการขายชอร์ตไม่ว่าในนามตนเองหรือเพื่อลูกค้าได้เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(1) การขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศกําหนดด้วยความเห็นชอบของสํานักงาน
(2) การขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารแห่งหนี้ ทั้งนี้ ให้สํานักงานมีอํานาจประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ที่บริษัทหลักทรัพย์ต้องปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวไว้ด้วยก็ได้ หรือ
(3) การขายชอร์ตอันเป็นผลสืบเนื่องจากหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามความผูกพันตามประเภทหรือลักษณะที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๕ ในการขายชอร์ตตามคําสั่งของลูกค้าที่มิใช่ลูกค้าสถาบัน ให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการดังนี้
(1) แจ้งให้ลูกค้าเข้าใจและลงนามรับทราบถึงลักษณะความเสี่ยงอันอาจจะเกิดขึ้นจากการขายชอร์ต
(2) เรียกให้ลูกค้าวางหลักประกันตลอดจนจัดให้มีการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการให้ยืมหลักทรัพย์เพื่อการขายชอร์ตตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์จัดให้ลูกค้าทําการขายชอร์ตผ่านบัญชีมาร์จิ้น
ข้อ ๖ ก่อนที่บริษัทหลักทรัพย์จะทําการขายชอร์ตเพื่อบัญชีตนเอง บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการจัดหาแหล่งยืมหลักทรัพย์ไว้ให้พร้อมเพื่อให้สามารถส่งมอบหลักทรัพย์ตามรายการที่ขายชอร์ตได้ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กําหนดหรือภายในระยะเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี
ในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตตามคําสั่งของลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการจัดหาหลักทรัพย์ไว้ให้พร้อมเพื่อให้ลูกค้าดังกล่าวยืมหรือจัดหาแหล่งยืมหลักทรัพย์ไว้ให้พร้อมสําหรับลูกค้าดังกล่าว เว้นแต่ลูกค้าจะแสดงได้ว่าตนได้จัดให้มีการยืมหลักทรัพย์ไว้แล้วและสามารถส่งมอบหลักทรัพย์ตามรายการที่ขายชอร์ตได้ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กําหนดหรือภายในระยะเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี
การขายหลักทรัพย์ในกรณีใดมิได้แสดงว่าเป็นการขายชอร์ต แต่มีเหตุจําเป็นต้องยืมหลักทรัพย์เพื่อนํามาส่งมอบภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กําหนด บริษัทหลักทรัพย์ต้องยืมหลักทรัพย์หรือจัดให้ลูกค้ายืมหลักทรัพย์จากหรือผ่านศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ทั้งนี้
การยืมหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องแสดงได้ถึงเหตุจําเป็นตามลักษณะที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๗ ให้บริษัทหลักทรัพย์เก็บรักษาข้อมูลและจัดทํารายงานเกี่ยวกับการขายชอร์ตตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๘ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กด. 30/2540 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใชบังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๙ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กด. 30/2540 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๑๐ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ผู้มีอํานาจลงนาม - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดห้ามบริษัทหลักทรัพย์ขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครองหรือมิได้มีบุคคลใดมอบหมายให้ขายหลักทรัพย์นั้น เว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนประกาศกําหนดให้กระทําได้ จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กด. 30/2540 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,846 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 38/2545 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กธ. 38/2545
เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้น
อยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ
ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้กําหนดให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครองได้ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กด. 30/2540 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 นั้น
โดยที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นควรให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ในกรณีอื่นเพิ่มเติมจากประกาศดังกล่าวได้จึงอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 98(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้เพื่อบัญชีตนเองโดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบได้
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2545
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,847 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 48/2552 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 48/2552
เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้น
อยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้เพื่อบัญชีตนเองโดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบได้
ข้อ ๒ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 38/2545 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ ลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๓ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 38/2545 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ ลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2545 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดห้ามบริษัทหลักทรัพย์ขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครองหรือมิได้มีบุคคลใดมอบหมายให้ขายหลักทรัพย์นั้น เว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนประกาศกําหนดให้กระทําได้ จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 38/2545 เรื่อง การขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ด้วยการซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ ลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2545 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,848 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 10/2550 เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กธ. 10/2550
เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่
บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 98(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ/น/ข. 33/2548 เรื่อง การอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟ โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2548
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
“กองทุนรวมอีทีเอฟ” หมายความว่า กองทุนรวมอีทีเอฟตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนรวมและการเข้าทําสัญญารับจัดการกองทุนส่วนบุคคล
“การขายชอร์ต” หมายความว่า การขายหลักทรัพย์โดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์อยู่ในครอบครอง
“ตลาดหลักทรัพย์” หมายความว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
“บริษัทจัดการกองทุนรวม” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
“สํานักหักบัญชี” หมายความว่า สํานักหักบัญชีตามตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๓ ให้บริษัทหลักทรัพย์ขายชอร์ตได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) การขายชอร์ตหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในนามบริษัทหลักทรัพย์เอง โดยการซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวจากบริษัทจัดการกองทุนรวมมาเพื่อส่งมอบ หรือยืมหน่วยลงทุนดังกล่าวมาเพื่อส่งมอบ
(2) การขายชอร์ตหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และเป็นองค์ประกอบของดัชนีที่กองทุนรวมอีทีเอฟนั้นอ้างอิงในนามของบริษัทหลักทรัพย์เองหรือตามคําสั่งของลูกค้า โดยการยืมหุ้นนั้นมาส่งมอบ หรือโดยการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟกับบริษัทจัดการกองทุนรวมเพื่อนําหุ้นที่ได้รับชําระเป็นค่าขายคืนหน่วยลงทุนนั้นมาส่งมอบ
ข้อ ๔ การขายชอร์ตหน่วยลงทุนตามข้อ 3(1) หรือหุ้นตามข้อ 3(2) ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศกําหนดด้วยความเห็นชอบของสํานักงาน
ข้อ ๕ ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์จะทําการขายชอร์ตหน่วยลงทุนตามข้อ 3(1) โดยการยืมหน่วยลงทุนมาเพื่อส่งมอบ ให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการจัดหาแหล่งยืมหน่วยลงทุนไว้ให้พร้อมเพื่อให้สามารถส่งมอบหน่วยลงทุนตามรายการดังกล่าวได้ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีกําหนดหรือภายในเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการข้างต้นก่อนการขายชอร์ตหน่วยลงทุนนั้น
ข้อ ๖ ในการขายชอร์ตหุ้นตามข้อ 3(2) ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) การขายชอร์ตหุ้นโดยการยืมหุ้นนั้นมาส่งมอบ ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์อยู่ในครอบครอง
(2) การขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟกับบริษัทจัดการกองทุนรวมเพื่อนําหุ้นที่ได้รับชําระเป็นค่าขายคืนหน่วยลงทุนนั้นมาส่งมอบ ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติดังนี้
(ก) ในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตหุ้นเพื่อบัญชีตัวเอง บริษัทหลักทรัพย์ต้องมีหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟที่อ้างอิงกับดัชนีที่มีหุ้นนั้นเป็นองค์ประกอบอยู่ในความครอบครองในขณะที่มีคําสั่งขายชอร์ต และบริษัทหลักทรัพย์มั่นใจว่าตนเองสามารถส่งมอบหุ้นตามรายการที่ขายชอร์ตด้วยการขายคืนหน่วยลงทุนดังกล่าวและรับชําระค่าขายคืนเป็นหุ้นที่ต้องส่งมอบได้ ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีกําหนด หรือภายในระยะเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี
(ข) ในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตหุ้นตามคําสั่งลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์ต้องให้ลูกค้าแสดงว่าลูกค้ามีหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟที่อ้างอิงกับดัชนีที่มีหุ้นนั้นเป็นองค์ประกอบอยู่ในความครอบครองในขณะที่มีคําสั่งขายชอร์ต และแสดงว่าลูกค้าสามารถส่งมอบหุ้นตามรายการที่ขายชอร์ตด้วยการขายคืนหน่วยลงทุนดังกล่าวและรับชําระค่าขายคืนเป็นหุ้นที่ต้องส่งมอบได้ ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีกําหนด หรือภายในระยะเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี
ข้อ ๗ ให้บริษัทหลักทรัพย์เก็บรักษาข้อมูลและจัดทํารายงานเกี่ยวกับการขายชอร์ตตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550
(นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ -
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เพื่อเป็นการอนุญาตให้การขายชอร์ตที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟสามารถทําได้ จึงจําเป็นต้องออกประกาศฉบับนี้
| 2,849 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 12/2550 เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กธ. 12/2550
เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่
บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
(ฉบับที่ 2)
----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 98(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความใน (1) ของข้อ 3 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 10/2550 เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) การขายชอร์ตหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในนามบริษัทหลักทรัพย์เองหรือตามคําสั่งของลูกค้า โดยการยืมหน่วยลงทุนดังกล่าวมาเพื่อส่งมอบ หรือซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวจากบริษัทจัดการกองทุนรวมมาเพื่อส่งมอบ”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในข้อ 5 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 10/2550 เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 5 ในการขายชอร์ตหน่วยลงทุนตามข้อ 3(1) ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) การขายชอร์ตหน่วยลงทุนโดยการยืมหน่วยลงทุนนั้นมาส่งมอบ ในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตในนามของบริษัทหลักทรัพย์เอง ให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการจัดหาแหล่งยืมหน่วยลงทุนไว้ให้พร้อมเพื่อให้สามารถส่งมอบหน่วยลงทุนตามรายการดังกล่าวได้ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีกําหนดหรือภายในเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการข้างต้นก่อนการขายชอร์ตหน่วยลงทุนนั้น และในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตตามคําสั่งของลูกค้า ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สํานักงานประกาศกําหนด
(2) การขายชอร์ตหน่วยลงทุนโดยการซื้อหน่วยลงทุนนั้นจากบริษัทจัดการกองทุนรวม ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สํานักงานประกาศกําหนด”
ข้อ 3 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550
(นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,850 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 49/2552 เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 49/2552
เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่
บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “กองทุนรวมอีทีเอฟ” หมายความว่า กองทุนรวมอีทีเอฟตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนรวมและการเข้าทําสัญญารับจัดการกองทุนส่วนบุคคล
(2) “การขายชอร์ต” หมายความว่า การขายหลักทรัพย์โดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์อยู่ในครอบครอง
(3) “ตลาดหลักทรัพย์” หมายความว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(4) “บริษัทจัดการกองทุนรวม” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
(5) “สํานักหักบัญชี” หมายความว่า สํานักหักบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๒ ให้บริษัทหลักทรัพย์ขายชอร์ตได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) การขายชอร์ตหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในนามบริษัทหลักทรัพย์เองหรือตามคําสั่งของลูกค้า โดยการยืมหน่วยลงทุดังกล่าวมาเพื่อส่งมอบ หรือซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวจากบริษัทจัดการกองทุนรวมมาเพื่อส่งมอบ
(2) การขายชอร์ตหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และเป็นองค์ประกอบของดัชนีที่กองทุนรวมอีทีเอฟนั้นอ้างอิงในนามของบริษัทหลักทรัพย์เองหรือตามคําสั่งของลูกค้า โดยการยืมหุ้นนั้นมาส่งมอบ หรือโดยการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟกับบริษัทจัดการกองทุนรวมเพื่อนําหุ้นที่ได้รับชําระเป็นค่าขายคืนหน่วยลงทุนนั้นมาส่งมอบ
ข้อ ๓ การขายชอร์ตหน่วยลงทุนตามข้อ 2(1) หรือหุ้นตามข้อ 2(2) ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศกําหนดด้วยความเห็นชอบของสํานักงาน
ข้อ ๔ ในการขายชอร์ตหน่วยลงทุนตามข้อ 2(1) ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) การขายชอร์ตหน่วยลงทุนโดยการยืมหน่วยลงทุนนั้นมาส่งมอบ ในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตในนามของบริษัทหลักทรัพย์เอง ให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการจัดหาแหล่งยืมหน่วยลงทุนไว้ให้พร้อมเพื่อให้สามารถส่งมอบหน่วยลงทุนตามรายการดังกล่าวได้ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีกําหนดหรือภายในเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการข้างต้นก่อนการขายชอร์ตหน่วยลงทุนนั้น และในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตตามคําสั่งของลูกค้า ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สํานักงานประกาศกําหนด
(2) การขายชอร์ตหน่วยลงทุนโดยการซื้อหน่วยลงทุนนั้นจากบริษัทจัดการกองทุนรวม ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๕ ในการขายชอร์ตหุ้นตามข้อ 2(2) ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) การขายชอร์ตหุ้นโดยการยืมหุ้นนั้นมาส่งมอบ ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยการขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์อยู่ในครอบครอง
(2) การขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟกับบริษัทจัดการกองทุนรวมเพื่อนําหุ้นที่ได้รับชําระเป็นค่าขายคืนหน่วยลงทุนนั้นมาส่งมอบ ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติดังนี้
(ก) ในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตหุ้นเพื่อบัญชีตัวเอง บริษัทหลักทรัพย์ต้องมีหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟที่อ้างอิงกับดัชนีที่มีหุ้นนั้นเป็นองค์ประกอบอยู่ในความครอบครองในขณะที่มีคําสั่งขายชอร์ต และบริษัทหลักทรัพย์มั่นใจว่าตนเองสามารถส่งมอบหุ้นตามรายการที่ขายชอร์ตด้วยการขายคืนหน่วยลงทุนดังกล่าวและรับชําระค่าขายคืนเป็นหุ้นที่ต้องส่งมอบได้ ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีกําหนด หรือภายในระยะเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี
(ข) ในกรณีที่เป็นการขายชอร์ตหุ้นตามคําสั่งลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์ต้องให้ลูกค้าแสดงว่าลูกค้ามีหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟที่อ้างอิงกับดัชนีที่มีหุ้นนั้นเป็นองค์ประกอบอยู่ในความครอบครองในขณะที่มีคําสั่งขายชอร์ต และแสดงว่าลูกค้าสามารถส่งมอบหุ้นตามรายการที่ขายชอร์ตด้วยการขายคืนหน่วยลงทุนดังกล่าวและรับชําระค่าขายคืนเป็นหุ้นที่ต้องส่งมอบได้ ภายในระยะเวลาที่สํานักหักบัญชีกําหนด หรือภายในระยะเวลาที่คู่สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ตกลงกัน แล้วแต่กรณี
ข้อ ๖ ให้บริษัทหลักทรัพย์เก็บรักษาข้อมูลและจัดทํารายงานเกี่ยวกับการขายชอร์ตตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๗ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 10/2550 เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๘ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 10/2550 เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 10/2550 เรื่อง การขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมอีทีเอฟโดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ลงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,851 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.ที่ กจ. 10/2557 เรื่อง การไม่นำบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับใบทรัสต์ของทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 10/2557
เรื่อง การไม่นําบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์
ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับใบทรัสต์ของทรัสต์
เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 63(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ใบทรัสต์ของทรัสต์ที่เป็นไปตามเงื่อนไขครบถ้วนดังต่อไปนี้ เป็นหลักทรัพย์ที่มิให้นําบทบัญญัติในหมวด 3 ว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับ
(1) เป็นทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการเงินร่วมลงทุนตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กร. 7/2557 เรื่อง การกําหนดประเภท ธุรกรรมในตลาดทุนที่ให้ใช้ทรัสต์ได้ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557
(2) ในกรณีที่ทรัสต์ตาม (1) กําหนดให้ผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นผู้ถือใบทรัสต์ได้ สัญญาก่อตั้งทรัสต์ต้องมีข้อจํากัดให้ผู้ลงทุนรายใหญ่ถือใบทรัสต์ได้ ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกินสิบรายเว้นแต่การเกินจํานวนดังกล่าวเกิดจากการได้มาทางมรดก
“ผู้ลงทุนรายใหญ่” ตามวรรคหนึ่ง (2) หมายความว่า ผู้ลงทุนรายใหญ่ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557
(นายอัชพร จารุจินดา)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,852 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 16/2565 เรื่อง การไม่นำบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับใบทรัสต์ของทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กจ. 16 /2565
เรื่อง การไม่นําบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์
ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับใบทรัสต์ของทรัสต์
เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน
-----------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 63(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ กจ. 10/2557 เรื่อง การไม่นําบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับใบทรัสต์ของทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน ลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ข้อ ๒ ให้ใบทรัสต์ของทรัสต์ที่เป็นไปตามเงื่อนไขครบถ้วนดังต่อไปนี้ เป็นหลักทรัพย์ที่มิให้นําบทบัญญัติในหมวด 3 ว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับ
(1) เป็นทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการเงินร่วมลงทุนตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดประเภทธุรกรรมในตลาดทุนที่ให้ใช้ทรัสต์ได้
(2) สัญญาก่อตั้งทรัสต์มีข้อกําหนดตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(ก) ในกรณีที่กําหนดให้ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเป็นผู้ถือใบทรัสต์ได้ สัญญาก่อตั้งทรัสต์ต้องมีข้อจํากัดให้ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษถือใบทรัสต์ได้ ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 10 ราย เว้นแต่เป็นการได้มาทางมรดก
(ข) ในกรณีที่เป็นทรัสต์ที่จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับและมีผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นผู้ถือใบทรัสต์ สัญญาก่อตั้งทรัสต์ต้องมีข้อกําหนดไม่ให้เสนอขายใบทรัสต์เพิ่มเติมให้แก่ผู้ลงทุนรายใหญ่ดังกล่าว"ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ" และ "ผู้ลงทุนรายใหญ่" ตามวรรคหนึ่ง (2) หมายความว่าผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ และผู้ลงทุนรายใหญ่ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ และผู้ลงทุนรายใหญ่
ข้อ ๓ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 10/2557 เรื่อง การไม่นําบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนมาใช้บังคับกับใบทรัสต์ของทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน ลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2565
(นายพิชิต อัคราทิตย์)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,853 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.ที่ กธ. 11/2557 เรื่อง การกำหนดการจัดการเงินทุนของกิจการเงินร่วมลงทุนที่ไม่ถือเป็นการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กธ. 11/2557
เรื่อง การกําหนดการจัดการเงินทุนของกิจการเงินร่วมลงทุน
ที่ไม่ถือเป็นการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 และมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้การรับมอบหมายในการจัดการเงินทุนของกิจการเงินร่วมลงทุน (private equity) ไม่ถือเป็นการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
ข้อ ๒ กิจการเงินร่วมลงทุนตามข้อ 1 หมายความว่า กิจการที่มีลักษณะเป็นไปตามองค์ประกอบดังต่อไปนี้
(1) มีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนร่วมกันของผู้ลงทุนตั้งแต่สองรายขึ้นไป โดยจํากัดลักษณะของผู้ลงทุนไว้เฉพาะที่เป็นผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ แต่ทั้งนี้ ต้องมิได้เป็นไปเพื่อแสวงหาประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดเป็นการเฉพาะ (private trust)
(2) มีการมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดการเงินทุนและทรัพย์สินที่เกิดจากเงินทุน
(3) มีนโยบายการลงทุนในกิจการอื่นผ่านการเข้าทําสัญญาการลงทุนในหุ้น หรือการสนับสนุนทางการเงินที่ก่อให้เกิดสิทธิในการได้มาซึ่งหุ้นของกิจการนั้นในภายหลัง โดยมีส่วนในการกํากับดูแลแผนธุรกิจ การดําเนินงานหรือการปรับปรุงการดําเนินงาน หรือการดําเนินการอื่นใดในลักษณะที่สะท้อนถึงการมีบทบาทต่อการดําเนินธุรกิจของกิจการดังกล่าว
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557
(นายอัชพร จารุจินดา)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,854 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 128/2546 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มของนักแสดงสาธารณะ ผู้จัดให้มีการแสดงของนักแสดงสาธารณะ และคู่สัญญาที่จัดหานักแสดงสาธารณะมาแสดง
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 128/2546
เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มของนักแสดงสาธารณะ ผู้จัดให้มีการแสดงของนักแสดงสาธารณะ
และคู่สัญญาที่จัดหานักแสดงสาธารณะมาแสดง
------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําผู้มี เงินได้หรือผู้ประกอบการ สําหรับการเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มของนักแสดงสาธารณะซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือคณะบุคคล ผู้จัดให้มีการแสดงของนักแสดงสาธารณะ และคู่สัญญาที่จัดหานักแสดงสาธารณะมาแสดง กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งและวรรคสองของข้อ 1 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.102/2544 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มของนักแสดงสาธารณะ ผู้จัดให้มีการแสดงของนักแสดงสาธารณะ และคู่สัญญาที่จัดหานักแสดงสาธารณะมาแสดง ลงวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2544 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 1 คําว่า “นักแสดงสาธารณะ” หมายความว่า นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ ไม่ว่าจะแสดงเดี่ยว เป็นหมู่หรือคณะ หรือแข่งขันเป็นทีม เช่น นักแสดงละครเวที นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงละครวิทยุ นักแสดงละครโทรทัศน์ ผู้ดําเนินรายการทางโทรทัศน์ นักแสดงตลก นายแบบ นางแบบ นักพูดรายการทอล์คโชว์ นักมวยอาชีพ นักฟุตบอลอาชีพ เป็นต้น
นักแสดงสาธารณะตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงผู้ประกาศข่าว โฆษก พิธีกร นักจัดรายการวิทยุ นักจัดรายการในสถานบันเทิงใด ๆ ผู้บรรยายหรือนักพากย์ ผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงสาธารณะ ผู้กํากับการแสดง ผู้จัดการทีมกีฬา ผู้ฝึกสอน นักกีฬาหรือบุคคลผู้กระทําการในลักษณะทํานองเดียวกัน”
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2546
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
(ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,855 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 127/2546 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กรณีการให้บริการที่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการโดยมีเหตุอันสมควรตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 127/2546
เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กรณีการให้บริการที่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการ
โดยมีเหตุอันสมควรตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนําผู้เสียภาษีสําหรับการพิจารณาเหตุอันสมควรตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการให้บริการโดยไม่มีค่าบริการหรือมีค่าบริการต่ํากว่าราคาตลาด กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ถือว่าการให้บริการโดยไม่มีค่าบริการหรือมีค่าบริการต่ํากว่าราคาตลาดที่เข้าลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นการให้บริการโดยมีเหตุอันสมควรตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
(1) ผู้ให้บริการต้องให้บริการแก่ผู้รับบริการตาม (2) เฉพาะการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ของโครงการพิเศษที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาล
(2) ผู้รับบริการต้องเป็นหน่วยงานราชการ สํานักงานหรือหน่วยงานหรือกองทุนที่มิใช่นิติบุคคลหรือคณะกรรมการซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม เพื่อกระทํากิจการตามนโยบายรัฐบาล
ตัวอย่าง
บริษัท ก. จํากัด ผู้จําหน่ายรถยนต์ได้ให้คณะกรรมการซึ่งจัดตั้งขึ้นตามโครงการเตรียมการจัดประชุมระหว่างประเทศของรัฐบาลยืมใช้รถยนต์โดยไม่มีค่าตอบแทนจํานวน 10 คัน เพื่อใช้เป็นพาหนะของผู้นําต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุมในการจัดประชุมระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม การให้ยืมใช้รถยนต์ ดังกล่าวถือเป็นการให้บริการโดยไม่มีค่าบริการโดยมีเหตุอันสมควรตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2546
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
(ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,856 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 126/2546 เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานและ ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 126/2546
เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ให้แก่ผู้ประกอบกิจการ
ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานและ ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้า
ระหว่างประเทศโดยอากาศยาน
------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนําเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้แก่ ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน และผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน ตามข้อ 12/4 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544 กรมสรรพากรจึงมี คําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคําสั่งนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
(1) คําว่า “ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ” หมายความว่า ค่าระวาง (Freight) ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) เนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทย หรือเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกเก็บในหรือนอกประเทศไทย
(2) คําว่า “ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ส่งของออกนอกประเทศไทย ซึ่งในคําสั่งนี้เรียกว่า Shipper หรือผู้รับของในประเทศไทยซึ่งในคําสั่งนี้เรียกว่า Consignee หรือผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานซึ่งในคําสั่งนี้เรียกว่า Forwarder
(3) คําว่า “บริษัทสายการบินไทย” หมายความว่า บริษัทหรือห้าง หุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน
(4) คําว่า “บริษัทสายการบินต่างประเทศ” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศซึ่งประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการบินไทย โดยบริษัทสายการบินไทยออกใบตราส่ง สินค้า (แอร์เวย์บิล) และใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการบินไทย โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่า ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการบินไทย
(2) กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการบินต่างประเทศ โดยบริษัทสายการบินต่างประเทศออกใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ใช้บริการ
(ก) กรณีจ่ายให้แก่บริษัทสายการบินต่างประเทศซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการบินต่างประเทศ โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการบินต่างประเทศ
(ข) กรณีจ่ายให้แก่บริษัทสายการบินต่างประเทศซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย โดยอนุสัญญาดังกล่าว มีข้อกําหนดให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทําสัญญารัฐนั้นเท่านั้น ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(ค) กรณีจ่ายให้แก่บริษัทสายการบินต่างประเทศซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย โดยอนุสัญญาดังกล่าว มีข้อกําหนดให้เก็บภาษีได้ร้อยละ 1.5 ของรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมี หน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการบินต่างประเทศ โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และ ผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการบิน ต่างประเทศ
ข้อ ๓ กรณีบริษัทสายการบินต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีการแต่งตั้งตัวแทนสายการบินหรือที่เรียกว่า “General Sales Agent (GSA)” เมื่อผู้ใช้บริการจ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่ตัวแทนสายการบิน (GSA) โดยตัวแทนสายการบินได้ออกใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) ในนามบริษัทสายการบินต่างประเทศให้แก่ผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการบินต่างประเทศตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่ตัวแทนสายการบิน (GSA) โดยระบุชื่อบริษัทสายการบินต่างประเทศ และเมื่อตัวแทนสายการบิน (GSA) นําเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยจํานวนดังกล่าวจ่ายให้แก่บริษัทสายการบินต่างประเทศ ตัวแทนสายการบิน (GSA) ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๔ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน ซึ่งเรียกว่า Forwarder ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) กรณี Forwarder ได้ออกใบตราส่งสินค้า (เฮ้าส์แอร์เวย์บิล) ให้แก่ ผู้ใช้บริการแต่ละราย (Shipper หรือ Forwarder รายอื่น) ไปก่อน และ Forwarder ได้จ่ายเงินค่า ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการบินในนามของ Forwarder เอง โดยไม่สามารถแยกจ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยเป็นแต่ละรายผู้ใช้บริการได้ Forwarder ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการบินตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) โดยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการบินในนามของ Forwarder และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในนามของ Forwarder โดยระบุชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัว ผู้เสียภาษีอากรของ Forwarder ในช่อง “ผู้จ่ายเงิน” ซึ่งกรมสรรพากรจะออกใบเสร็จรับเงินในนามของ Forwarder
กรณี Forwarder ตามวรรคหนึ่งเรียกเก็บเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยจากผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1.0 จาก Forwarder โดยออกหนังสือรับรอง การหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่ Forwarder ในนามของผู้ใช้บริการ เว้นแต่ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยที่ผู้ใช้บริการจ่ายให้แก่ Forwarder นั้นสามารถสอบยันได้กับจํานวนค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยที่ Forwarder จ่ายให้แก่บริษัทสายการบิน ซึ่ง Forwarder ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้ว ผู้ใช้บริการไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สําหรับค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยที่จ่ายให้แก่ Forwarder
การสอบยันค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยตามวรรคสอง ให้ Forwarder ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยระบุข้อความเพิ่มเติมว่า “ค่าขนส่งสินค้าขาออกตามใบเสร็จรับเงินฉบับนี้ Forwarder ได้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการบินแล้ว” หรือข้อความอื่นในลักษณะทํานองเดียวกัน
(2) กรณี Forwarder จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการบิน โดยบริษัทสายการบินออกใบตราส่ง สินค้า (แอร์เวย์บิล) ให้แก่ Forwarder ในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) และบริษัทสายการบิน ได้ออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) ด้วย ถือว่า Forwarder กระทําการเป็น ตัวแทนของผู้ใช้บริการ (Shipper) ดังนั้น เมื่อ Forwarder ได้จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการบินในนามของผู้ใช้บริการ(Shipper) Forwarder จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการบินตาม หลักเกณฑ์ตามข้อ 2 โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และ Forwarder มีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการบิน โดยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายของตนเอง และระบุชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ใช้บริการ (Shipper) ด้วย ต่อมาเมื่อผู้ใช้บริการ (Shipper) จ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจํานวนดังกล่าวคืนให้แก่ Forwarder ในภายหลัง ผู้ใช้บริการ (Shipper) ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
Forwarder ตามวรรคหนึ่ง มีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นรายฉบับแต่ละรายของผู้ใช้บริการ (Shipper) โดยจะต้องระบุชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ใช้บริการ (Shipper) ในช่อง “ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย” และระบุชื่อ Forwarder ในช่อง “ผู้จ่ายเงิน” ซึ่งกรมสรรพากรจะออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) และ Forwarder มีหน้าที่ต้องส่งสําเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ใบเสร็จรับเงินจากการยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และสําเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ให้แก่ผู้ใช้บริการ (Shipper) ด้วย
ข้อ ๕ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการบิน โดยบริษัทสายการบินออกใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) ให้แก่ผู้ใช้บริการ (Shipper) แต่บริษัทสายการบินเรียกเก็บ ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในต่างประเทศจากผู้ซื้อในต่างประเทศ บริษัทสายการบินต้องนํารายได้ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) ไม่ว่าจะเรียกเก็บในหรือนอกประเทศไทยมารวมคํานวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 หรือมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากผู้ใช้บริการ (Shipper) มิได้เป็นผู้จ่ายเงินได้จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
กรณีบริษัทสายการบินตามวรรคหนึ่ง ได้ออกใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) ให้แก่ Forwarder ในประเทศไทย แต่บริษัทสายการบินเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยในต่างประเทศจาก Forwarder ในต่างประเทศ กรณีดังกล่าว Forwarder ในประเทศไทยซึ่งมิได้เป็นผู้จ่ายเงินได้ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และกรณี Forwarder ในประเทศไทยออกใบตราส่งสินค้า (เฮาส์แอร์เวย์บิล) ให้แก่ผู้ใช้บริการ (Shipper) หากใบตราส่งสินค้า (เฮาส์แอร์เวย์บิล) ดังกล่าว ระบุค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่เรียกเก็บในต่างประเทศ ผู้ใช้บริการ (Shipper) ซึ่งมิได้เป็นผู้จ่ายเงินได้จึงไม่มี หน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๖ กรณีบริษัทสายการบินตามข้อ 2 ตัวแทนสายการบิน (GSA) ตามข้อ 3หรือ Forwarder ตามข้อ 4 ออกเอกสารเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยไม่สามารถระบุค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใด ที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยไว้ใน แอร์เวย์บิลหรือเฮาส์แอร์เวย์บิล บริษัทสายการบิน ตัวแทนสายการบิน และ Forwarder สามารถออกเอกสารโดยระบุเฉพาะค่าระวาง (Freight) ไว้ในแอร์เวย์บิลหรือเฮาส์แอร์เวย์บิล และระบุค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยไว้ในเอกสารใบเรียกเก็บเงิน (อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เช่น Freight Invoice ก็ได้ เมื่อผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินตามแอร์เวย์บิลหรือ เฮาส์แอร์เวย์บิลและเอกสารใบเรียกเก็บเงิน (อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน ดังกล่าว ถือเป็นการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการบิน ตัวแทนสายการบิน หรือ Forwarder แล้วแต่กรณี โดยคํานวณหักไว้ใน อัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในแอร์เวย์บิลหรือเฮาส์แอร์เวย์บิลและเอกสารใบเรียกเก็บเงิน (อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกันนั้น
ข้อ ๗ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการบินไทย โดยบริษัทสายการบินไทยออกใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และ ผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่บริษัทสายการบินไทย
(2) กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการบินต่างประเทศ โดยบริษัทสายการบินต่างประเทศออกใบตราส่งสินค้า (แอร์เวย์บิล) และออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ โดยเหตุที่ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทย ไม่เป็นฐานในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๘ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน (Forwarder) โดย Forwarder กระทําการในฐานะเป็นตัวแทนของ Forwarder ในต่างประเทศ และ Forwarder ในประเทศไทย ได้ออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ ถือว่าผู้ใช้บริการจ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งไม่เป็นฐานในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
กรณี Forwarder ในประเทศไทยได้กระทําการในฐานะเป็นตัวแทน เรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยของForwarder ในต่างประเทศ Forwarder ในประเทศไทยจะต้องมีหลักฐานหรือเอกสารอื่นใดที่มี เนื้อหาแสดงว่ากระทําการในฐานะเป็นตัวแทนของ Forwarder ในต่างประเทศ
ข้อ ๙ กรณีบริษัทสายการบินตามข้อ 2 ตัวแทนสายการบิน (GSA) ตามข้อ 3หรือ Forwarder ตามข้อ 4 เรียกเก็บค่าบริการหรือเรียกว่า Handling Charge (H/D) นอกเหนือจากค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจากผู้ใช้บริการ ซึ่งค่าบริการดังกล่าวอาจระบุไว้ในแอร์เวย์บิล เฮาส์แอร์เวย์บิล เอกสารใบเรียกเก็บเงิน (อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เช่น Freight Invoice ก็ได้ ค่าบริการ (Handling Charge) ถือเป็นค่าตอบแทนที่ผู้ใช้บริการจ่าย ให้แก่บริษัทสายการบิน ตัวแทนสายการบิน (GSA) หรือ Forwarder ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการ (Handling Charge) นั้น ตามข้อ 12/1 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้ พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544
ข้อ ๑๐ ให้นําความในข้อ 6 มาใช้บังคับสําหรับการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานและผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน (Forwarder) ด้วย
ข้อ ๑๑ ให้นําความในข้อ 4 ถึงข้อ 10 มาใช้บังคับสําหรับการจ่ายเงินค่าขนส่ง สินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยและการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการเป็นตัวแทนรับขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานซึ่งเป็นตัวแทนที่ได้รับแต่งตั้งด้วย
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2546
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,857 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 125/2546 เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์ และค่าบริการโทรศัพท์
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 125/2546
เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์ และ
ค่าบริการโทรศัพท์
--------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์ และค่าบริการโทรศัพท์ ตามข้อ 6 และข้อ 8 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์กับผู้ให้บริการโทรศัพท์ และได้จ่ายค่าธรรมเนียมการขอเลขหมายโทรศัพท์ ค่าลงทะเบียนการใช้บริการโทรศัพท์ ค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์ ค่าประกันเลขหมายโทรศัพท์ หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกันให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 5.0 ตามข้อ 6 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
กรณีผู้ให้บริการโทรศัพท์เรียกเก็บค่าประกันเลขหมายโทรศัพท์ตามวรรคหนึ่งเป็นจํานวนไม่เกิน 6 เท่าของค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์รายเดือน เช่น ค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์เดือนละ 500 บาท และผู้ให้บริการโทรศัพท์เรียกเก็บค่าประกันเลขหมายโทรศัพท์เป็นจํานวน 3,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการคืนค่าประกันเลขหมายโทรศัพท์ในทันทีที่สัญญาสิ้นสุด แต่ในการคืนค่าประกันเลขหมายโทรศัพท์ดังกล่าวผู้ให้บริการโทรศัพท์อาจนําไปหักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายก่อนได้ ผู้ให้บริการโทรศัพท์ไม่ต้องนําค่าประกันเลขหมายโทรศัพท์จํานวน 3,000 บาท ไปรวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และผู้จ่ายค่าประกันเลขหมายโทรศัพท์ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ค่าธรรมเนียมการขอเลขหมายโทรศัพท์ ค่าลงทะเบียนการใช้บริการโทรศัพท์ ค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์ ค่าประกันเลขหมายโทรศัพท์ หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกันตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง เข้าลักษณะเป็นค่าตอบแทนจากการให้บริการตามมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ให้บริการโทรศัพท์จึงต้องนําค่าธรรมเนียมการขอเลขหมายโทรศัพท์ ค่าลงทะเบียนการใช้บริการโทรศัพท์ ค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์ ค่าประกัน เลขหมายโทรศัพท์ หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกันดังกล่าวไปรวมคํานวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์กับผู้ให้บริการโทรศัพท์ และได้จ่ายค่าบริการโทรศัพท์ หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกันให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 8 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
ค่าบริการโทรศัพท์ หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกันตามวรรคหนึ่ง เข้าลักษณะเป็นค่าตอบแทนจากการให้บริการตามมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ให้บริการโทรศัพท์จึงต้องนําค่าบริการโทรศัพท์ หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน ดังกล่าวไปรวมคํานวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๓ กรณีผู้ให้บริการโทรศัพท์จัดกิจกรรมการส่งเสริมการขายซึ่งอาจเป็นสัญญาระยะยาวโดยมีข้อตกลงว่าไม่เรียกเก็บค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกันตามข้อ 1 และเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการโทรศัพท์หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกันตามข้อ 2 ผู้จ่ายเงินซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการโทรศัพท์หรือค่าบริการที่มีลักษณะทํานองเดียวกันตามข้อ 2 ทั้งนี้ ตามข้อ 8 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
ข้อ ๔ กรณีผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์เป็นผู้ประกอบกิจการให้เช่าอาคารและให้บริการโทรศัพท์ ได้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ระบบโทรศัพท์ธรรมดากับผู้ให้บริการโทรศัพท์ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์ออกใบแจ้งหนี้ในนามของผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็น ผู้ให้เช่าอาคาร หากผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์จ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มีหน้าที่ต้องจัดทําใบกํากับภาษีให้แก่ผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ ตามมาตรา 86 และมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุชื่อผู้ทําสัญญาใช้ บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอาคารเป็นผู้รับบริการตามมาตรา 86/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์มีสิทธินําภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกํากับภาษีดังกล่าวไปถือเป็นภาษีซื้อในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากผู้ให้บริการโทรศัพท์ โดยออกหนังสือรับรอง การหักภาษี ณ ที่จ่าย ในนามของผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์
กรณีผู้เช่าอาคารเป็นผู้จ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มีหน้าที่ต้องจัดทําใบกํากับภาษีให้แก่ผู้เช่าอาคารตามมาตรา 86 และมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุชื่อผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอาคารเป็นผู้รับบริการตามมาตรา 86/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร และเพิ่มเติม ข้อความว่า “จ่ายค่าบริการโดยผู้เช่าอาคารคือ” หรือข้อความที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน ซึ่ง ผู้เช่าอาคารมีสิทธินําภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกํากับภาษีดังกล่าวไปถือเป็นภาษีซื้อในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีผู้เช่าอาคารเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ผู้เช่าอาคารมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากผู้ให้บริการโทรศัพท์ โดยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในนามของผู้เช่าอาคารให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์
ให้นําความในวรรคสองมาใช้บังคับในกรณีผู้เช่าอาคารได้ให้บุคคลอื่นเช่าช่วงอาคารและผู้เช่าช่วงอาคารเป็นผู้จ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ด้วย
ข้อ ๕ กรณีผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์เป็นผู้ประกอบกิจการให้เช่าอาคารและให้บริการโทรศัพท์ ได้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ระบบโทรศัพท์แบบตู้สาขาระบบต่อเข้าตรงกับผู้ให้บริการโทรศัพท์และผู้ให้บริการโทรศัพท์ออกใบแจ้งหนี้ในนามของผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอาคาร เมื่อผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์จ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มีหน้าที่ต้องจัดทําใบกํากับภาษีให้แก่ผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ตามมาตรา 86 และมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุชื่อผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอาคารเป็นผู้รับบริการตามมาตรา 86/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์มีสิทธินําภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกํากับภาษี ดังกล่าวไปถือเป็นภาษีซื้อในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากผู้ให้บริการโทรศัพท์ โดยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในนามของผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์
กรณีผู้เช่าอาคารได้ใช้บริการโทรศัพท์ระบบโทรศัพท์แบบตู้สาขาระบบต่อเข้าตรงจากผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอาคาร ถือว่าผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอาคารได้ให้บริการโทรศัพท์แก่ผู้เช่าอาคารตามมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อผู้เช่าอาคารจ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้แก่ผู้ทําสัญญาใช้บริการ โทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอาคาร ผู้ให้เช่าอาคารมีหน้าที่ต้องจัดทําใบกํากับภาษีให้แก่ผู้เช่าอาคารตามมาตรา 86 และมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุชื่อผู้เช่าอาคารเป็นผู้รับบริการตามมาตรา 86/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งผู้เช่าอาคารมีสิทธินําภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกํากับภาษีดังกล่าวไปถือเป็นภาษีซื้อในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีผู้เช่าอาคารเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ผู้เช่าอาคารมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากผู้ให้เช่าอาคาร โดยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายในนามของผู้เช่าอาคารให้แก่ผู้ให้เช่าอาคาร
ข้อ ๖ กรณีผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์เป็นผู้ประกอบกิจการผลิตหรือนําเข้าน้ํามันเพื่อขาย ได้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ระบบโทรศัพท์ธรรมดากับผู้ให้บริการโทรศัพท์ ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์ออกใบแจ้งหนี้ในนามของผู้ประกอบกิจการผลิตหรือนําเข้าน้ํามัน แต่สถานบริการน้ํามันภายใต้ชื่อหรือยี่ห้อของผู้ประกอบกิจการดังกล่าวเป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์ และจ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มีหน้าที่ต้องจัดทําใบกํากับภาษีให้แก่สถานบริการน้ํามันตามมาตรา 86 และมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุชื่อผู้ประกอบกิจการผลิตหรือนําเข้าน้ํามันเป็นผู้รับบริการตามมาตรา 86/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร และเพิ่มเติมข้อความว่า “จ่ายค่าบริการโดยสถานบริการน้ํามันคือ” หรือข้อความที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน ซึ่งสถานบริการน้ํามันมีสิทธินําภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกํากับภาษีดังกล่าวไปถือเป็นภาษีซื้อในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีสถานบริการน้ํามันเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น สถานบริการน้ํามันมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากผู้ให้บริการโทรศัพท์ โดยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในนามของสถานบริการน้ํามันให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์
ข้อ ๗ กรณีผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีสถานประกอบการหลายแห่ง และสถานประกอบการที่เป็นสํานักงานใหญ่ได้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ระบบโทรศัพท์ธรรมดากับผู้ให้บริการโทรศัพท์ ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์ออกใบแจ้งหนี้ในนามของผู้ทําสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นสํานักงานใหญ่ แต่สถานประกอบการที่มิใช่สํานักงานใหญ่เป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์และจ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มีหน้าที่ต้องจัดทําใบกํากับภาษีให้แก่สถานประกอบการที่มิใช่สํานักงานใหญ่ ตามมาตรา 86 และมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุชื่อผู้ทําสัญญาใช้ บริการโทรศัพท์เป็นผู้รับบริการและระบุที่อยู่ของสถานประกอบการที่มิใช่สํานักงานใหญ่ตามมาตรา 86/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งสถานประกอบการที่มิใช่สํานักงานใหญ่มีสิทธินําภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกํากับภาษีดังกล่าวไปถือเป็นภาษีซื้อในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีสถานประกอบการที่มิใช่สํานักงานใหญ่เป็นบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น สถานประกอบการที่มิใช่สํานักงานใหญ่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากผู้ให้บริการโทรศัพท์ โดยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในนามของสถานประกอบการที่มิใช่สํานักงานใหญ่ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์
ข้อ ๘ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น จ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 หรือข้อ 3 ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงินหรือไม่ก็ตาม ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการจ่ายเงิน โดยมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
กรณีการจ่ายค่าบริการผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของ ผู้จ่ายเงินไม่ว่าจะหักจากบัญชีเงินฝากหรือบัญชีบัตรเครดิต ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงินและโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ให้บริการโทรศัพท์ ซึ่งการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย จะต้องระบุวัน เดือน หรือปีภาษีที่จ่ายเงินได้เป็นวันเดียวกันกับวันที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ให้บริการโทรศัพท์
กรณีมีการจ่ายค่าบริการตามวรรคหนึ่งในแต่ละเดือนเป็นจํานวนหลายคราว ทําให้ผู้จ่ายเงินไม่สามารถหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด เพื่อเป็นการลดภาระการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้จ่ายเงินซึ่งมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย สําหรับการจ่ายค่าบริการในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยสามารถออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หนึ่งครั้งต่อเดือน แต่ผู้จ่ายเงินยังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 50 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร และมีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ข้อ ๙ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น จ่ายค่าบริการตามข้อ 1 และข้อ 2 หรือข้อ 3 ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์โดยเป็นการจ่ายผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงินไม่ว่าจะหักจากบัญชีเงินฝากหรือบัญชีบัตรเครดิต และผู้จ่ายเงิน มีความประสงค์แต่งตั้งให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการ หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และลงลายมือชื่อในหนังสือ รับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนผู้จ่ายเงิน พร้อมทั้งยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และชําระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงิน ก็สามารถกระทําได้ โดยจะต้องจัดทําสัญญาการตั้งตัวแทนและมอบอํานาจให้กระทําการแทนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ ผู้ให้บริการโทรศัพท์ซึ่ง เป็นตัวแทนจะต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายในนามของผู้จ่ายเงิน และต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของผู้จ่ายเงิน
ผู้ให้บริการโทรศัพท์ตามวรรคหนึ่ง สามารถเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการได้ ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์ใน ฐานะเป็นตัวแทนต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของผู้จ่ายเงิน โดยให้ดําเนินการตามข้อ 10
ข้อ ๑๐ กรณีผู้ให้บริการโทรศัพท์ตามข้อ 9 ได้มีหนังสือแจ้งไปยังบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นคู่สัญญาเดิม โดยมีสาระสําคัญว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจะเป็นผู้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสําหรับค่าบริการแทน ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแทน โดยกําหนดระยะเวลาให้ผู้จ่ายเงินตอบรับ เมื่อผู้จ่ายเงินตอบรับแล้ว ถือว่าหนังสือแจ้ง ดังกล่าวเป็นข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรแต่งตั้งให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เป็นตัวแทนแล้ว
กรณีผู้ให้บริการโทรศัพท์ตามข้อ 9 ได้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินแล้ว ผู้จ่ายเงินไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย สําหรับการจ่ายค่าบริการในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งทําให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นตัวแทนไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นรายฉบับทุกครั้งที่จ่ายเงิน แต่ทั้งนี้ ผู้ให้บริการโทรศัพท์ต้องจัดทํารายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เพื่อเป็นหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย และเมื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินแล้ว ผู้ให้บริการโทรศัพท์จะต้องระบุ ข้อความเพิ่มเติมในใบเสร็จรับเงินหรือใบกํากับภาษีของค่าบริการ โดยมีสาระสําคัญว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์ได้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ ... เป็นจํานวนเงิน ...บาท แทนผู้จ่ายเงินแล้ว และจะดําเนินการนําส่งภาษีดังกล่าวต่อกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์จะต้องจัดให้มีการ SCAN หรือพิมพ์ลายมือชื่อผู้รับมอบอํานาจในใบเสร็จรับเงินหรือใบกํากับภาษีดังกล่าวด้วย
รายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามวรรคสอง สามารถจัดทําเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ แต่จะต้องมีรายการอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(1) คําว่า “ รายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายประจําเดือน... พ.ศ. .... ” ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด
(2) ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ให้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยมีข้อความว่า “ ในฐานะผู้กระทําการแทนผู้จ่ายเงินได้ตามรายชื่อที่ระบุไว้ในเอกสารนี้ ”
(3) ประเภทเงินได้ เช่น ค่าบริการเลขหมายโทรศัพท์ หรือค่าบริการโทรศัพท์
(4) ชื่อ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้จ่ายเงิน ซึ่งเป็นตัวการหลายตัวการ จํานวนเงินที่จ่าย และจํานวนภาษีที่หักไว้
(5) ลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย
ข้อ ๑๑ กรณีผู้ให้บริการโทรศัพท์ตามข้อ 9 ได้ยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53 ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทน ผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการ ผู้ให้บริการโทรศัพท์จะต้องระบุในช่องผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์ในฐานะผู้กระทําการแทนผู้จ่ายเงินในใบแนบ ภ.ง.ด.53 พร้อมทั้งแนบรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามข้อ 10 วรรคสามด้วย ซึ่งเอกสารรายละเอียดดังกล่าวถือเป็นใบต่อแบบ ภ.ง.ด.53 โดยผู้ให้บริการโทรศัพท์จะต้องเขียนข้อความว่า “ใบต่อแบบ ภ.ง.ด.53 ” ไว้ในเอกสารรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด
ผู้ให้บริการโทรศัพท์ตามวรรคหนึ่ง ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการ สามารถใช้เอกสารรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามข้อ 10 วรรคสาม เป็นบัญชีพิเศษแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่ายและการนําส่งภาษีได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 17 แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 7 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้และภาษีการค้า (ฉบับที่ 4) เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้หรือภาษีการค้า ณ ที่จ่าย มีบัญชีพิเศษ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
ข้อ ๑๒ ผู้ให้บริการโทรศัพท์ตามข้อ 9 ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการ สามารถใช้สําเนาแบบ ภ.ง.ด.53 และหลักฐานใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรที่รับชําระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นหลักฐานในการเครดิตภาษีตามมาตรา 60 แห่งประมวลรัษฎากรได้
ข้อ ๑๓ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หนังสือตอบข้อหารือหรือทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ ให้เป็นอันยกเลิก
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,858 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง การแต่งตั้งเจ้าพนักงาน และกำหนดสถานที่รับแบบแสดงรายการ รับชำระเงินภาษี และรับเงินภาษีนำส่งตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 3 )
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง การแต่งตั้งเจ้าพนักงาน และกําหนดสถานที่รับแบบแสดงรายการ รับชําระเงินภาษี และรับเงินภาษีนําส่งตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 3 )
---------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16 (2) มาตรา 40 มาตรา 42 และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 อธิบดีกรมสรรพากรแต่งตั้งเจ้าพนักงาน และกําหนดสถานที่รับแบบแสดงรายการ รับชําระเงินภาษีและรับเงินภาษีนําส่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ในประกาศนี้
“องค์กรร่วม” หมายความว่า องค์กรร่วมไทย – มาเลเซียตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย – มาเลเซีย พ.ศ. 2533
“พื้นที่พัฒนาร่วม” หมายความว่า พื้นที่พัฒนาร่วมตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย – มาเลเซีย พ.ศ. 2533
ข้อ 2 ให้ผู้จัดการส่วนการเงิน บัญชี และตรวจสอบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Manager of the Department of Finance, Account and PSC Audit) และผู้ช่วยผู้จัดการส่วนการเงิน บัญชี และตรวจสอบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Assistant Manager of the Department of Finance, Account and PSC Audit) ขององค์กรร่วม เป็นเจ้าพนักงานประเมินตามมาตรา 16(2) เฉพาะกรณีการรับแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 40 แบบแสดงรายการภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และเป็นเจ้าพนักงานรับชําระเงินภาษีและรับเงินภาษีนําส่งตามมาตรา 42 และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
ข้อ 3 ให้สํานักงานขององค์กรร่วมเป็นสถานที่รับแบบแสดงรายการ รับชําระเงินภาษี และรับเงินภาษีนําส่ง ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้หรือผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายและนําส่งตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 สําหรับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศซึ่งได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเฉพาะในเขตพื้นที่พัฒนาร่วม
ข้อ 4 การเสียหรือนําส่งภาษีตามประกาศนี้ ให้ถือว่าเป็นการสมบูรณ์เมื่อได้รับใบเสร็จรับเงินซึ่ง “เจ้าพนักงานรับชําระเงินภาษีและรับเงินภาษีนําส่ง” ได้ลงลายมือชื่อรับเงินแล้ว
ข้อ 5 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2555
สาธิต รังคสิริ
(นายสาธิต รังคสิริ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,859 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากัน หรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 3)
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากัน หรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 3)
--------------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 5 โสฬส มาตรา 5 สัตตรส และมาตรา 6 (31) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 330) พ.ศ. 2541 พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 542) พ.ศ. 2555 และพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 357) พ.ศ. 2542 และข้อ 2 (50) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 291 (พ.ศ. 2555) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรจึงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด เพื่อยกเว้นภาษีอากรตามพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงดังกล่าว ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2545
ข้อ 2 ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ข้อ 3 การควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด จะต้องมีลักษณะและหรือเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด และบริษัทจํากัด ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
(2) ให้บริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด อันได้ตั้งขึ้นใหม่ด้วย ควบเข้ากันนั้น และบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัดผู้รับโอน แจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้น จํานวนหุ้น และมูลค่าหุ้น ตามทะเบียนหุ้นทั้งของต่างบริษัทที่ควบเข้ากัน บริษัทที่ตั้งใหม่ บริษัทผู้โอน และบริษัทผู้รับโอน ต่ออธิบดีกรมสรรพากร ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทใหม่ กรณีควบ หรือนับแต่วันจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรณีโอน ตามแบบที่อธิบดีกําหนด ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด อันได้ตั้งขึ้นใหม่ด้วย ควบเข้ากัน และบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด ผู้รับโอน แล้วแต่กรณี
(3) บริษัทที่ควบเข้ากัน และบริษัทผู้โอนหรือผู้รับโอนจะต้องไม่เป็นลูกหนี้ภาษีอากรค้างของกรมสรรพากร ณ วันที่ควบหรือวันที่โอน เว้นแต่ได้จัดให้มีธนาคารหรือหลักทรัพย์ค้ําประกันหนี้ภาษีอากรค้างและค่าใช้จ่ายในการบังคับหนี้ดังกล่าวแล้ว
(4) กรณีการโอนกิจการให้แก่กัน บริษัทผู้โอนกิจการต้องจดทะเบียนเลิกและมีการชําระบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนกิจการนั้น
ข้อ 4 กําหนดให้แบบต่อไปนี้ เป็นแบบสําหรับการแจ้งรายการกรณีการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร
(1) แบบ ค.อ.1 แบบแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นและแจ้งการเป็นลูกหนี้ค่าภาษีอากรสําหรับการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด
(2) แบบ ค.อ.2 แบบแจ้งรายชื่อบริษัทที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด
(3) แบบ ค.อ.3 แบบแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นสําหรับการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด
(4) แบบ ค.อ.4 แบบแจ้งการเป็นลูกหนี้ค่าภาษีอากรสําหรับการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จํากัด หรือบริษัทจํากัด
ข้อ 5 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับ
(1) ตั้งแต่วันประกาศเป็นต้นไป สําหรับการยกเว้นรัษฎากรตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 330) พ.ศ. 2541และพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 357) พ.ศ. 2542
(2) ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555 สําหรับการยกเว้นรัษฎากรตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 291 (พ.ศ. 2555) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(3) ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555 สําหรับการยกเว้นรัษฎากรตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 542) พ.ศ. 2555
ประกาศ ณ วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555
สาธิต รังคสิริ
(นายสาธิต รังคสิริ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,860 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจำตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร
---------------------------------------------------
ด้วยในการยื่นรายการภาษีเพื่อชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร โดยให้ยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกําหนดต่อสรรพากรพื้นที่ สรรพากรพื้นที่สาขาหรือผู้อํานวยการสํานักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่ สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือสํานักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ แล้วแต่กรณี ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545
เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรและเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีอากร และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตลอดจนเป็นการสนับสนุนให้ใช้เลขประจําตัวประชาชนเป็นเลขประจําตัวหลักแห่งชาติที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน อธิบดีกรมสรรพากรอาศัยอํานาจตามมาตรา 3 เอกาทศ แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 9 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าว กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีอากร และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิก
(1) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2546
(2) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2547
(3) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2547
ข้อ ๒ ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีและใช้เลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ใช้เลขประจําตัวประชาชนในการยื่นรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 56 และมาตรา 56 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 58 และมาตรา 59 แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ต้องยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนด
สําหรับผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ไม่มีเลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ได้แก่ คนต่างด้าว ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง รวมถึงบุคคลธรรมดาที่ประสงค์จะจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะ และผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะอยู่ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2546 ยังคงต้องมีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรตามข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545 โดยให้คนต่างด้าว ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง นั้น มีสิทธิยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรตามแบบคําร้องขอมีเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากร ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ได้อีกทางหนึ่ง
กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีและใช้เลขประจําตัวประชาชนในการยื่นรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 56 และมาตรา 56 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และประสงค์จะจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะตามวรรคสอง ยื่นคําร้องขอจดทะเบียนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ไม่ต้องยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวอีก โดยกรมสรรพากรจะออกเลขประจําตัวเพื่อใช้ในการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะในขณะขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะแล้วแต่กรณี
ข้อ ๓ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แต่ไม่รวมถึงกิจการร่วมค้าที่มีผู้ร่วมค้าไม่มีเลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร มีสิทธิยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรตามแบบคําร้องขอมีเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากร ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากรwww.rd.go.th ได้อีกทางหนึ่ง
“ข้อ 3/1 ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ยื่นคําขอจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจํากัด ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2553 มีสิทธิยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมกับการยื่นคําขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ โดยใช้แบบคําขอจดทะเบียนของสํานักงานหุ้นส่วนบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจํากัด เป็นคําร้องขอมี เลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากร”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายมีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป)
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,861 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจำตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2)
-----------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามมาตรา 3 เอกาทศ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2525 อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้
ข้อ 1 ให้เพิ่มความดังต่อไปนี้เป็นข้อ 3/1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2549
“ข้อ 3/1 ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ยื่นคําขอจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจํากัด ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2553 มีสิทธิยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมกับการยื่นคําขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ โดยใช้แบบคําขอจดทะเบียนของสํานักงานหุ้นส่วนบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจํากัด เป็นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากร”
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,862 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจำตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 3)
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 3)
------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 เอกาทศ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2525 อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิก
(1) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2549
(2) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ข้อ 2 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคห้าของ (1) ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545
“กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีและใช้เลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ให้ใช้เลขประจําตัวประชาชนนั้นในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร โดยไม่ต้องยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกําหนด”
ข้อ 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของ (2) ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545
“กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีและใช้เลขทะเบียนนิติบุคคลที่ออกโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ให้ใช้เลขทะเบียนนิติบุคคลนั้นในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรโดยไม่ต้องยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกําหนด”
ข้อ 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของ (ข) ของ (3) ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545
“กรณีผู้จ่ายเงินได้เป็นสมาคมการค้าหรือหอการค้าที่มีและใช้เลขทะเบียนนิติบุคคลที่ออกโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ให้ใช้เลขทะเบียนนิติบุคคลนั้นในกรณีเป็นผู้หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยไม่ต้องยื่นคําร้องขอมีเลขประจําตัวและบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกําหนด”
ข้อ 4/1 “ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายที่มีและใช้เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรอยู่ก่อนวันที่ที่ประกาศนี้ใช้บังคับจะใช้เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรนั้นในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรต่อไป หรือแก้ไขเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมกับลงลายมือชื่อกํากับการแก้ไขหรือประทับตรายางเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องเพิ่มเติมจนถึงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556 ก็ได้ แต่ไม่รวมถึงการใช้เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีของผู้มีหน้าที่เสียภาษี ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และผู้มีหน้าที่นําส่งภาษี”
ข้อ 5 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2555
สาธิต รังคสิริ
(นายสาธิต รังคสิริ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,863 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจำตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 4)
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 4)
--------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 เอกาทศ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2525 อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้
ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 4/1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย มีและใช้เลขประจําตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555
“ข้อ 4/1 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายที่มีและใช้เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรอยู่ก่อนวันที่ที่ประกาศนี้ใช้บังคับจะใช้เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรนั้นในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรต่อไป หรือแก้ไขเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมกับลงลายมือชื่อกํากับการแก้ไขหรือประทับตรายางเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องเพิ่มเติมจนถึงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556 ก็ได้ แต่ไม่รวมถึงการใช้เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีของผู้มีหน้าที่เสียภาษี ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และผู้มีหน้าที่นําส่งภาษี”
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
สาธิต รังคสิริ
(นายสาธิต รังคสิริ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,864 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทด. 50/2552 เรื่อง การขายตราสารแห่งหนี้โดยที่ยังไม่มีตราสารแห่งหนี้อยู่ในครอบครองของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทด. 50/2552
เรื่อง การขายตราสารแห่งหนี้โดยที่ยังไม่มีตราสารแห่งหนี้
อยู่ในครอบครองของบริษัทหลักทรัพย์ประเภท
การเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์
(2) “ตราสารแห่งหนี้” หมายความว่า
(ก) ตั๋วเงินคลัง
(ข) พันธบัตร
(ค) ตั๋วเงิน
(ง) หุ้นกู้
(จ) หลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้อื่นตามที่สํานักงานประกาศกําหนด
(3) “ผู้ค้าหลักทรัพย์” หมายความว่า
(ก) ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์
(ข) ผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์ตามกฎหมายต่างประเทศ
(ค) ธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๒ ห้ามมิให้บริษัทหลักทรัพย์ขายตราสารแห่งหนี้โดยที่ยังไม่มีตราสารแห่งหนี้นั้นอยู่ในครอบครอง เว้นแต่เป็นกรณีที่เกิดความผิดพลาดในการส่งคําสั่งซื้อขายหรือมีการผิดนัดชําระหนี้โดยผู้ค้าหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์ได้ดําเนินการซื้อตราสารแห่งหนี้ดังกล่าวมาในโอกาสแรกที่ทําได้เพื่อส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อ หรือผู้ให้ยืมในกรณีที่ได้ยืมตราสารแห่งหนี้มาเพื่อส่งมอบสําหรับการขายคราวนั้น
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กย. 36/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ ลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กย. 36/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ ลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2545 ในส่วนที่เกี่ยวกับการขายตราสารแห่งหนี้โดยที่ยังไม่มีตราสารแห่งหนี้อยู่ในครอบครองของบริษัทหลักทรัพย์ ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดห้ามบริษัทหลักทรัพย์ขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครองหรือมิได้มีบุคคลใดมอบหมายให้ขายหลักทรัพย์นั้น เว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนประกาศกําหนดให้กระทําได้ จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อรองรับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กย. 36/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ ลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2545 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,865 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทน. 51/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการ
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทน. 51/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้น
เพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการ
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(7) (ข) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“บริษัท” หมายความว่า บริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัด และให้หมายความรวมถึงนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ
“บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม หรือบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ 6(6) แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. 2551 ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
ข้อ ๒ สํานักงานจะผ่อนผันให้บริษัทจัดการซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทใด ๆ ได้ ต่อเมื่อการซื้อหรือมีหุ้นดังกล่าวมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) เป็นเงินลงทุนระยะยาวเกินกว่าหนึ่งปี
(2) เป็นเงินลงทุนที่มิได้เกิดจากการเพิ่มทุนโดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจงเพื่อซื้อหรือมีหุ้นดังกล่าว และ
(3) เป็นไปตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการตามที่กําหนดไว้ในประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกระทําที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในการจัดการกองทุนและหลักเกณฑ์ในการป้องกัน
บริษัทจัดการที่ได้รับการผ่อนผันตามวรรคหนึ่งต้องถือหุ้นที่ลงทุนในหรือมีไว้เกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งหุ้นนั้น เว้นแต่คณะกรรมการของบริษัทจัดการเห็นว่ามีเหตุจําเป็นอันสมควรที่จะต้องจําหน่ายหุ้นนั้นก่อนเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทจัดการต้องรายงานการจําหน่ายหุ้นพร้อมทั้งหลักฐานแสดงการพิจารณาความจําเป็นอันสมควรของคณะกรรมการของบริษัทจัดการในการจําหน่ายหุ้นก่อนเวลาให้แก่สํานักงานภายในห้าวันทําการนับแต่วันที่มีการจําหน่ายหุ้นดังกล่าว
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 16/2549 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 16/2549 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ในการซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 16/2549 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,866 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กน. 23/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กน. 23/2545
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้น
ของนิติบุคคลร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 98(7) (ข) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“นิติบุคคลร่วมลงทุน” หมายความว่า บริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน
“บริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการเงินร่วมลงทุน
“กิจการ” หมายความว่า วิสาหกิจขนาดกลางหรือวิสาหกิจขนาดย่อมที่มีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรซึ่งไม่รวมที่ดินไม่เกินสองร้อยล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๒ บริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนอาจซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนได้
ข้อ ๓ ในกรณีที่บริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนตามข้อ 2 มีจํานวนเกินร้อยละห้าสิบของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของนิติบุคคลร่วมลงทุน ให้ถือว่าบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนประกอบกิจการอื่นที่มิใช่ธุรกิจหลักทรัพย์ในประเภทที่ได้รับอนุญาต และต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. ตามมาตรา 98(8)
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,867 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทน. 52/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทน. 52/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้น
ของนิติบุคคลร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สิน
ของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(7)(ข) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “นิติบุคคลร่วมลงทุน” หมายความว่า บริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน
(2) “บริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการเงินร่วมลงทุน
(3) “กิจการ” หมายความว่า วิสาหกิจขนาดกลางหรือวิสาหกิจขนาดย่อมที่มีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรซึ่งไม่รวมที่ดินไม่เกินสองร้อยล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน
ข้อ ๒ บริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนอาจซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนได้
ข้อ ๓ ในกรณีที่บริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนตามข้อ 2 มีจํานวนเกินร้อยละห้าสิบของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของนิติบุคคลร่วมลงทุน ให้ถือว่าบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนประกอบกิจการอื่นที่มิใช่ธุรกิจหลักทรัพย์ในประเภทที่ได้รับอนุญาต และต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 98(8)
ข้อ ๔ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๕ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545
ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อหรือมีหุ้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนเป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของนิติบุคคลร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,868 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ/น. 24/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กธ./น. 24/2545
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้น
ของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 98(7) (ข) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“บริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน” หมายความว่า บริษัทที่ได้รับใบอนุญาต
ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการเงินร่วมลงทุน
“บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่รวมถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๒ บริษัทหลักทรัพย์อาจซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนได้
ข้อ ๓ ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนตามข้อ 2 มีจํานวนเกินร้อยละห้าสิบของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน ให้ถือว่าบริษัทหลักทรัพย์ประกอบกิจการอื่นที่มิใช่ธุรกิจหลักทรัพย์ในประเภทที่ได้รับอนุญาต และต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. ตามมาตรา 98(8)
ข้อ ๔ ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดทํารายงานการซื้อหรือมีไว้ หรือจําหน่ายไปซึ่งหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนตามข้อ 2 โดยระบุชื่อของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน อัตราร้อยละของจํานวนหุ้นที่ซื้อหรือมีไว้ต่อจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน และอัตราร้อยละของมูลค่าของหุ้นที่ซื้อหรือมีไว้รวมกับหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนทุกบริษัทที่
บริษัทหลักทรัพย์ถืออยู่ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์นั้นไว้ที่บริษัทหลักทรัพย์เพื่อให้ สํานักงานสามารถตรวจสอบได้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,869 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ/น. 53/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ/น. 53/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้น
ของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนเพื่อเป็น
ทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(7)(ข) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“บริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน” หมายความว่า บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการเงินร่วมลงทุน
“บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่รวมถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน
ข้อ ๒ บริษัทหลักทรัพย์อาจซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนได้
ข้อ ๓ ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนตามข้อ 2 มีจํานวนเกินร้อยละห้าสิบของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน ให้ถือว่าบริษัทหลักทรัพย์ประกอบกิจการอื่นที่มิใช่ธุรกิจหลักทรัพย์ในประเภทที่ได้รับอนุญาต และต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 98(8)
ข้อ ๔ ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดทํารายงานการซื้อหรือมีไว้ หรือจําหน่ายไปซึ่งหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนตามข้อ 2 โดยระบุชื่อของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน อัตราร้อยละของจํานวนหุ้นที่ซื้อหรือมีไว้ต่อจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุน และอัตราร้อยละของมูลค่าของหุ้นที่ซื้อหรือมีไว้รวมกับหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนทุกบริษัทที่บริษัทหลักทรัพย์ถืออยู่ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์นั้นไว้ที่บริษัทหลักทรัพย์เพื่อให้สํานักงานสามารถตรวจสอบได้
ข้อ ๕ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ./น. 24/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๖ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ./น. 24/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อหรือมีหุ้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ./น. 24/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทจัดการเงินร่วมลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,870 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 124/2546 เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่าย เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการเป็นตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง)
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 124/2546
เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่าย เงินได้พึงประเมินตามมาตรา
40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการเป็นตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง)
---------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนํา เกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการเป็นตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ตามข้อ 3/1 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้ พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2544 และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ประกอบกิจการเป็นตัวแทนของผู้นําเข้าและผู้ส่งออกในการดําเนินพิธีการศุลกากรแทนผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า โดยจัดทําใบขนสินค้า ยื่นใบขนสินค้าต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ณ ด่านศุลกากรเพื่อให้มีการตรวจปล่อยสินค้า และส่งมอบสินค้าที่นําเข้าจากต่างประเทศให้แก่ผู้นําเข้าหรือส่งสินค้าออกนอก ราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศให้แก่ผู้ส่งออก การประกอบกิจการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าบริการทั้งหมดที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการให้บริการตามมาตรา 77/2 และมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร โดยคํานวณภาษีตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร
ค่าบริการที่ผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าจ่ายให้แก่ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทยและ ผู้จ่ายเงินเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคล หรือนิติบุคคลอื่น ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการ และกรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เป็นมูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกําหนดตามมาตรา 47(7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10.0 ของค่าบริการ ทั้งนี้ ตามข้อ 3/1 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2544
ข้อ ๒ กรณีผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าได้จ่ายเงินจ่ายล่วงหน้า (Advance Payment) ให้แก่ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เพื่อดําเนินพิธีการศุลกากรแทนผู้นําเข้าและผู้ส่งออก ผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในขณะที่จ่ายเงินจ่ายล่วงหน้า
กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการดําเนินพิธีการศุลกากรในนามของผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าให้แก่ส่วนราชการ องค์การของ รัฐบาล หรือนิติบุคคลซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการดําเนินพิธีการศุลกากรในนามของผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในนามของผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า โดยเจ้าของสินค้ามีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53
กรณีผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้ามีความประสงค์จะให้ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53 แทนเจ้าของสินค้าก็สามารถกระทําได้ โดยตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง)ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายของตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) และระบุชื่อ ที่อยู่ เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของเจ้าของสินค้าด้วย และตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53 เป็นรายฉบับแต่ละรายของเจ้าของ สินค้า โดยต้องระบุชื่อ ที่อยู่ เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของเจ้าของสินค้าในช่อง “ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย” และระบุชื่อตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ในช่อง “ผู้จ่ายเงิน” ซึ่งกรมสรรพากรจะออกใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้า และตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องส่งสําเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ใบเสร็จรับเงินจากการยื่นแบบ ภ.ง.ด.53 และสําเนาแบบ ภ.ง.ด.53 ให้แก่เจ้าของสินค้าด้วย
ข้อ ๓ ให้นําความในข้อ 2 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่มาใช้บังคับสําหรับกรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายเงินของตนไปก่อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินพิธีการศุลกากรในนามของผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า และต่อมาเมื่อตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้เรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายในการดําเนินพิธีการศุลกากรคืนจากเจ้าของสินค้า ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากจํานวนเงินดังกล่าว และเจ้าของสินค้า ผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๔ กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) จ่ายค่าใช้จ่ายในการดําเนินพิธีการศุลกากรแทนผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ต้องแสดงเอกสารหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายค่าใช้จ่ายในนามของเจ้าของสินค้า และเมื่อตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เรียกเก็บค่าบริการจากเจ้าของสินค้า ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าบริการทั้งหมดที่ได้รับหรือพึงได้รับ และผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากค่าบริการทั้งหมดที่จ่าย
ตัวอย่าง ในการดําเนินพิธีการศุลกากรแทนผู้นําเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็น เจ้าของสินค้า ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายเงินของตนไปก่อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินพิธีการศุลกากร โดยค่าใช้จ่ายที่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้า ได้แก่ การจ่ายค่าภาระ (Port Handling Charge) ค่าเช่าพื้นที่ ค่าใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ และค่าขนส่ง ให้แก่ท่าเรือ คลังสินค้า หรือการจ่ายค่าภาษี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้แก่กรมศุลกากร จํานวน 10,000 บาท นอกจากนี้ ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้าและค่าใช้จ่ายตามประเพณีซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของสินค้ายอมรับว่ามีการ จ่ายจริงอีกจํานวน 4,000 บาท เมื่อการดําเนินงานแล้วเสร็จ ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้ออก ใบแจ้งหนี้เรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายและค่าบริการจากเจ้าของสินค้า โดยระบุรายการค่าใช้จ่ายแยกเป็นค่าใช้จ่ายที่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้าจํานวน 10,000 บาท ค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้าจํานวน 4,000 บาท และค่าบริการจํานวน 2,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจํานวน 16,000 บาท กรณีดังกล่าวตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และเจ้าของสินค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าบริการจํานวน 6,000 บาท ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของ สินค้าจํานวน 4,000 บาท และค่าบริการจํานวน 2,000 บาท
(2) เจ้าของสินค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) จากค่าบริการทั้งหมดที่จ่ายจํานวน 6,000 บาท
(3) ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าใช้จ่ายในการดําเนินพิธีการศุลกากรที่เรียกเก็บจากเจ้าของสินค้าจํานวน 10,000 บาท ซึ่ง เป็นค่าใช้จ่ายที่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้า และเมื่อเจ้าของสินค้าจ่ายเงินจํานวน 10,000 บาท ดังกล่าวให้แก่ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เจ้าของสินค้าไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี เงินได้ ณ ที่จ่าย
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2546
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,871 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ/น/ข. 57/2552 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ/น/ข. 57/2552
เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 มาตรา 103 และมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 100 มาตรา 114 มาตรา 115 มาตรา 116 และมาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 134 และมาตรา 135 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “บุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์” หมายความว่า
(ก) บุคคลซึ่งปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของบริษัทหลักทรัพย์หรือเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ในตําแหน่งหรือลักษณะงานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ การชักชวนหรือให้คําแนะนําเกี่ยวกับหลักทรัพย์ การบริหารจัดการธุรกิจหลักทรัพย์ การบริหารจัดการทรัพย์สินของลูกค้าในธุรกิจหลักทรัพย์ หรือตําแหน่งหรือลักษณะงานอื่นในทํานองเดียวกัน ซึ่งเป็นตําแหน่งหรือลักษณะงานที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน หรือขึ้นทะเบียนกับสํานักงาน หรือจะปฏิบัติงานได้ก็ต่อเมื่อไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนด และ
(ข) บุคคลซึ่งเป็นกรรมการหรือบุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการนิติบุคคลที่ทําหน้าที่ในการรับฝากทรัพย์สินหรือดูแลผลประโยชน์ของลูกค้าในธุรกิจหลักทรัพย์ หรือตําแหน่งหรือลักษณะงานอื่นในทํานองเดียวกัน ซึ่งเป็นตําแหน่งหรือลักษณะงานที่ผู้ปฏิบัติงานจะปฏิบัติงานได้ก็ต่อเมื่อไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนด
(2) “บุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” หมายความว่า บุคคลซึ่งปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตําแหน่งหรือลักษณะงานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การวิเคราะห์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า การชักชวนหรือให้คําแนะนําเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การบริหารจัดการธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การบริหารจัดการทรัพย์สินของลูกค้าในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือตําแหน่งหรือลักษณะงานอื่นในทํานองเดียวกันซึ่งเป็นตําแหน่งหรือลักษณะงานที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน หรือขึ้นทะเบียนกับสํานักงาน หรือจะปฏิบัติงานได้ก็ต่อเมื่อไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนด
(3) “สถาบันการเงิน” หมายความว่า สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ เว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนหรือสํานักงานจะมีประกาศเฉพาะกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ข้อ ๓ บุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
(1) เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ บุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(2) เป็นบุคคลที่อยู่ระหว่างถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยห้ามเป็นกรรมการผู้บริหาร หรือผู้มีอํานาจควบคุมของบริษัทจดทะเบียน
(3) อยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษหรือถูกดําเนินคดีอาญาโดยหน่วยงานที่มีอํานาจตามกฎหมาย ในความผิดเกี่ยวกับการกระทําอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง ฉ้อฉล หรือทุจริต
(4) อยู่ระหว่างต้องห้ามมิให้เป็นหรือปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน
(5) อยู่ระหว่างระยะเวลาที่กําหนดตามคําสั่งของสํานักงานให้พัก เพิกถอน หรือห้ามการปฏิบัติงานในตําแหน่งหนึ่งตําแหน่งใดหรือลักษณะงานหนึ่งลักษณะงานใดในการเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ บุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือกรรมการของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือสํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(6) อยู่ระหว่างระยะเวลาที่กําหนดตามคําสั่งของสํานักงานให้ถอนรายชื่อจากระบบข้อมูลรายชื่อกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ หรือปฏิเสธการแสดงรายชื่อในระบบข้อมูลรายชื่อกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์เนื่องจากมีลักษณะต้องห้าม
(7) อยู่ระหว่างระยะเวลาที่กําหนดตามคําสั่งขององค์กรที่มีอํานาจตามกฎหมายต่างประเทศให้พัก เพิกถอน หรือห้ามการปฏิบัติงานในตําแหน่งหนึ่งตําแหน่งใดหรือลักษณะงานหนึ่งลักษณะงานใด ซึ่งเทียบได้กับการเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ บุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือกรรมการของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือสํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(8) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการของสถาบันการเงิน โดยมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายหรือต้องร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันการเงินดังกล่าวซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาต ถูกควบคุมกิจการ หรือถูกระงับการดําเนินกิจการเนื่องจากแผนแก้ไขฟื้นฟูฐานะหรือการดําเนินงานไม่ผ่านความเห็นชอบของหน่วยงานที่กํากับดูแลสถาบันการเงินนั้น หรือของคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือถูกสั่งการให้แก้ไขฐานะทางการเงินที่เสียหายด้วยการลดทุนและมีการเพิ่มทุนในภายหลังโดยได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานหรือสถาบันการเงินของรัฐ เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
(9) เคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทําความผิดตาม (3) หรือเคยถูกเปรียบเทียบปรับเนื่องจากการกระทําความผิดตาม (3)
(10) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการประพฤติผิดต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานหรือให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นธรรม ต่อผู้ใช้บริการธุรกิจหลักทรัพย์ หรือธุรกิจบริการทางการเงินอื่น หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(11) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการขาดจรรยาบรรณหรือมาตรฐานในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งกําหนดโดยหน่วยงานหรือสมาคมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(12) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางไม่สุจริตหรือฉ้อฉลต่อผู้อื่น หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(13) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรมหรือการเอาเปรียบผู้ลงทุน หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(14) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการจงใจแสดงข้อความอันเป็นเท็จในสาระสําคัญหรือปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสําคัญที่ควรบอกให้แจ้งในเอกสารใด ๆ ที่ต้องเปิดเผยต่อประชาชนหรือต้องยื่นต่อสํานักงาน คณะกรรมการกํากับตลาดทุน คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือต่อองค์กรที่มีอํานาจกํากับดูแลสถาบันการเงิน หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(15) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการละเลยการตรวจสอบดูแลตามสมควร เพื่อป้องกันมิให้นิติบุคคลหรือกิจการที่ตนมีอํานาจในการจัดการ หรือผู้ปฏิบัติงานซึ่งอยู่ภายใต้การตรวจสอบดูแล (ถ้ามี) กระทําการใดหรืองดเว้นกระทําการใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือขัดต่อกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือประกาศที่ออกโดยอาศัยอํานาจแห่งกฎหมายดังกล่าว อันอาจก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในธุรกิจหลักทรัพย์โดยรวม หรือความเสียหายต่อชื่อเสียง ฐานะ การดําเนินธุรกิจ หรือลูกค้าของธุรกิจนั้น
ข้อ ๔ ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์คนใดมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3 สํานักงานจะไม่ให้ความเห็นชอบ หรือไม่ขึ้นทะเบียน หรือห้ามการปฏิบัติงานในตําแหน่งนั้น เว้นแต่กรณีที่ลักษณะต้องห้ามดังกล่าวเป็นลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3(9) (10) (11) (12) (13) (14) หรือ (15) และข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวรับฟังได้ว่า พฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลนั้นมิใช่กรณีร้ายแรงถึงขนาดที่ไม่สมควรให้บุคคลดังกล่าวปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ หรือเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาแล้วเกินกว่าสิบห้าปีนับถึงวันที่ยื่นคําขอรับความเห็นชอบหรือคําขอขึ้นทะเบียนต่อสํานักงาน หรือนับถึงวันที่เริ่มปฏิบัติงานในตําแหน่งนั้น สํานักงานจะใช้ดุลพินิจไม่ยกเหตุอันเป็นลักษณะต้องห้ามในกรณีนั้นมาเป็นเหตุในการห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ก็ได้ ในการนี้ สํานักงานจะกําหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่ใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวเป็นการชั่วคราวด้วยก็ได้
ข้อ ๕ ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงในภายหลังว่าบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์คนใดมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3 ให้สํานักงานสั่งพัก เพิกถอน หรือห้ามการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวเป็นระยะเวลาตามที่กําหนด แต่ไม่เกินสิบห้าปีนับแต่วันที่สํานักงานมีคําสั่ง เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3(9) (10) (11) (12) (13) (14) หรือ (15) ให้สํานักงานมีอํานาจดําเนินการดังนี้
(1) หากพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วเกินกว่าสิบห้าปีนับถึงวันที่ข้อเท็จจริงปรากฏต่อสํานักงาน สํานักงานจะใช้ดุลพินิจไม่ยกเหตุอันเป็นลักษณะต้องห้ามในกรณีนั้นมาเป็นเหตุในการห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ก็ได้ หรือ
(2) หากพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลในกรณีนั้นมิได้มีลักษณะร้ายแรงถึงขนาดที่ไม่สมควรให้บุคคลดังกล่าวปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ สํานักงานจะกําหนดให้บุคคลดังกล่าวยังสามารถปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ต่อไปก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ สํานักงานจะสั่งภาคทัณฑ์บุคคลดังกล่าว หรือกําหนดให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการเรื่องหนึ่งเรื่องใดด้วยก็ได้
ข้อ ๖ เมื่อกรณีมีเหตุสมควร โดยคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชน และประสิทธิภาพในการป้องปรามมิให้บุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์กระทําการใดหรืองดเว้นกระทําการใดอันจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในการปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ สํานักงานจะดําเนินการแจ้งข่าวข้อมูลเกี่ยวกับการสั่งพัก เพิกถอน หรือภาคทัณฑ์บุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ต่อสาธารณชน หรือจัดข้อมูลดังกล่าวไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้
ข้อ ๗ ในการใช้ดุลพินิจสั่งการตามข้อ 4 หรือข้อ 5 ให้สํานักงานคํานึงถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลเป็นรายกรณี ทั้งนี้ ปัจจัยที่สํานักงานสามารถนํามาใช้ประกอบการพิจารณาให้รวมถึง
(1) ขอบเขตของผลกระทบจากพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้าม เช่น กระทบต่อตลาดเงินหรือตลาดทุน กระทบต่อประชาชนโดยรวม หรือกระทบต่อบุคคลเฉพาะราย เป็นต้น
(2) นัยสําคัญของพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้าม เช่น จํานวนเงินที่เกี่ยวข้องปริมาณธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
(3) ผู้รับประโยชน์จากผลของพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้าม
(4) ความเกี่ยวข้องของบุคคลต่อพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน เป็นต้น
(5) ความซับซ้อนของลักษณะการกระทําหรือเครื่องมือที่ใช้ในการกระทํา เช่น การใช้ชื่อบุคคลอื่น หรือการตั้งบริษัทอําพราง เป็นต้น
(6) ประวัติพฤติกรรมในอดีต เช่น เป็นพฤติกรรมครั้งแรก หรือเป็นพฤติกรรมที่เกิดซ้ําหรือต่อเนื่อง เป็นต้น
(7) ความตระหนักของผู้กระทําในเรื่องดังกล่าว เช่น จงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นต้น
(8) ข้อเท็จจริงอื่น เช่น การให้ข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาหรือดําเนินการ การปิดบังอําพรางหรือทําลายพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง หรือการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ เป็นต้น
ข้อ ๘ เพื่อให้การใช้ดุลพินิจสั่งการของสํานักงานตามประกาศนี้มีความชัดเจนและผ่านกระบวนการทบทวนตามสมควร เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงใดที่อาจนําไปสู่การสั่งการที่ไม่เป็นคุณต่อบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์คนใด ก่อนที่สํานักงานจะมีคําวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว สํานักงานต้องกําหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งทําหน้าที่พิจารณาข้อเท็จจริงและเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวต่อสํานักงาน ทั้งนี้ ภายใต้กระบวนพิจารณาของคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากสํานักงานดังกล่าวอย่างน้อยต้องกําหนดให้มีการแจ้งให้บุคคลที่อาจเป็นผู้รับการสั่งการนั้นได้ทราบข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับข้อสงสัยถึงการมีลักษณะต้องห้ามของบุคคลดังกล่าว และแจ้งสิทธิของบุคคลดังกล่าวในการชี้แจงและนําเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อสงสัยนั้น
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับกรณีข้อเท็จจริงที่แสดงถึงการมีลักษณะต้องห้าม ตามข้อ 3(1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) หรือ (8) หรือกรณีอื่นใดที่สํานักงานเห็นว่าได้ผ่านกระบวนวิธีพิจารณามาเพียงพอแล้ว
ข้อ ๙ ข้อเท็จจริงใดที่สํานักงานได้นํามาใช้ประกอบการพิจารณากําหนดมาตรการทางปกครองตามข้อ 4 หรือข้อ 5 แล้ว สํานักงานจะนําข้อเท็จจริงดังกล่าวมาสั่งการซ้ําอีกไม่ได้ แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบถึงการใช้เป็นปัจจัยประกอบการเพิ่มระดับหรือการกําหนดประเภทของมาตรการทางปกครอง เพราะเหตุที่บุคคลดังกล่าวมีพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามขึ้นอีก
ข้อ ๑๐ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ/น/ข. 3/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้จนกว่าจะมีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดที่อ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ/น/ข. 3/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๑๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ/น/ข. 3/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,872 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 123/2546 เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล การพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) และกรณีคำนวณรายได้รายจ่าย ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 123/2546
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล การพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) และกรณีคํานวณรายได้รายจ่าย
ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
---------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําสําหรับการพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) และกรณีคํานวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้สถาบันการเงินดังกล่าวต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือกระทําการอย่างอื่นที่มีลักษณะทํานอง เดียวกัน ให้ถือว่ากรณีมีเหตุอันสมควรที่สถาบันการเงินดังกล่าวสามารถดําเนินการได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2546 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546
ข้อ ๒ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นลูกหนี้ต้องโอนทรัพย์สินหรือให้บริการแก่สถาบันการเงินดังกล่าวโดยไม่มีค่าตอบแทน หรือมีค่าตอบแทนหรือค่าบริการต่ํากว่าราคาตลาด ให้ถือว่าการโอนทรัพย์สินหรือการให้บริการดังกล่าวมีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2546
ข้อ ๓ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้สถาบันการเงินดังกล่าวทําสัญญาหรือข้อตกลงให้ลูกหนี้ชําระเงินต้นก่อนการชําระดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการ ให้ถือว่าเป็นกรณีที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้สถาบันการเงิน ดังกล่าวกระทําได้ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุง โครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546
ข้อ ๔ ในข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3
สถาบันการเงิน หมายความว่า
(1) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(2) ธนาคารออมสิน
(3) บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิต ฟองซิเอร์
(4) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสําหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
(5) บริษัทบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์
(6) บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
ลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ให้หมายความรวมถึง ผู้ค้ําประกันของลูกหนี้ด้วย
ข้อ ๕ ให้นําความในข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 มาใช้บังคับกับการปรับปรุง โครงสร้างหนี้ระหว่างเจ้าหนี้อื่นกับลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น ซึ่งได้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์การ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนดมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546
เจ้าหนี้อื่น หมายความว่า เจ้าหนี้ที่มิใช่สถาบันการเงินซึ่งได้ดําเนินการเจรจาร่วมกับสถาบันการเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ และได้ทําความตกลงเป็นหนังสือร่วมกับเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน
ลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น หมายความว่า ลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินด้วย และให้หมายความรวมถึงผู้ค้ําประกันของลูกหนี้ด้วย
ข้อ ๖ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2546
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,873 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 122/2545 เรื่อง ภาษีเงินได้ กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จากการประกอบกิจการสถานศึกษาและที่ได้จากการประกอบกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างและรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือฝึกอบรมลูกจ้างของบริษัท
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 122/2545
เรื่อง ภาษีเงินได้ กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับกําไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จากการ
ประกอบกิจการสถานศึกษาและที่ได้จากการประกอบกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้าง
และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือฝึกอบรมลูกจ้างของบริษัท
------------------------------------------------
ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 284) พ.ศ. 2538 กําหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับกําไรสุทธิของบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จากการประกอบกิจการสถานศึกษา และที่ได้จากการประกอบกิจการ สถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น หรือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน และให้ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ของบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นจํานวนร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมในสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพ ที่ทางราชการจัดตั้งขึ้น หรือสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพเอกชนเฉพาะที่มีฐานะเป็น มูลนิธิ สมาคม หรือบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งเป็นสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกําหนด โดยการให้บริการการศึกษา หรือฝึกอบรมต้องเป็น การศึกษาหรือฝึกอบรมในประเทศไทยเพื่อพัฒนาคุณภาพ ความรู้ความสามารถ ทักษะ ฝีมือของลูกจ้างให้สูงขึ้น เพื่อประโยชน์ของกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นนายจ้าง ทั้งนี้ ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกําหนดสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพที่รับลูกจ้างของบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเข้าศึกษาหรือฝึกอบรม ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 288) พ.ศ. 2538 กําหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นจํานวนร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่ได้จ่าย ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น โดยหลักสูตรที่ใช้ ฝึกอบรมลูกจ้างต้องเป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างและได้รับการรับรองจากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมลูกจ้างแต่ละคนต้องเป็นไปตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ทั้งนี้ ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 60) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ลงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2539 นั้น
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนําบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไปเข้า รับการศึกษาหรือฝึกอบรมในสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพ หรือได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการ จัดการฝึกอบรมลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประกอบกิจการสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น หรือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลในเครือเดียวกันตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับ
(1) กําไรสุทธิที่ได้จากกิจการโรงเรียนเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วย โรงเรียนเอกชนหรือกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน แต่ไม่รวมถึงรายได้จากการขายของ การรับจ้างทําของหรือการให้บริการอื่นใดที่ได้รับจากผู้ซึ่งมิใช่ นักเรียนหรือนักศึกษาของโรงเรียนเอกชนหรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง จะต้องมิได้ประกอบกิจการอื่นนอกจากกิจการโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนหรือกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
(2) กําไรสุทธิที่ได้จากกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น หรือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน
ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง จะต้องมิได้ประกอบกิจการอื่นนอกจากกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้ เพื่อการศึกษาหรือฝึกอบรมลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นนายจ้าง ถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากําไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ บริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวมีสิทธินําไปถือเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคล ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร
(1) ค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของตนไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมใน สถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพของทางราชการ ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ
(2) ค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของตนไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมใน สถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพของเอกชน ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ
(3) ค่าใช้จ่ายในการจัดการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของตน (In-house Training) โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นดําเนินการฝึกอบรมเอง หรือว่าจ้างให้สถานศึกษาหรือ สถานฝึกอบรมวิชาชีพของทางราชการ หรือสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพของเอกชนดําเนินการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของตน
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง ส่งลูกจ้างเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมในสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพของทางราชการ หรือสถานศึกษาหรือ สถานฝึกอบรมวิชาชีพของเอกชน จะต้องมีการกําหนดเงื่อนไขให้ลูกจ้างกลับเข้าทํางานให้แก่บริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นหลังจากสําเร็จการศึกษาหรือผ่านการฝึกอบรมแล้ว
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง ต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายค่าใช้จ่ายตาม (1) ถึง (3) ไปจริง เช่น คําสั่งของนายจ้างให้ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษา หรือฝึกอบรม คําสั่งของนายจ้างให้จัดการฝึกอบรม และใบเสร็จรับเงินของสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรม วิชาชีพ
ข้อ ๓ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมเพื่อพัฒนาคุณภาพ ความรู้ความสามารถ ทักษะ ฝีมือของลูกจ้างให้สูงขึ้น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่เป็นนายจ้างตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นจะได้รับสิทธิ ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นจํานวนร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 284) พ.ศ. 2538
(1) ค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของตนไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมใน สถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพที่ทางราชการจัดตั้งขึ้น ซึ่งต้องมีการกําหนดเงื่อนไขให้ลูกจ้างกลับเข้าทํางานให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นหลังจากสําเร็จการศึกษาหรือผ่านการฝึกอบรมแล้ว
(2) ค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของตนไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมใน สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบัน อุดมศึกษาเอกชน หรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพเอกชนเฉพาะที่มีฐานะเป็นมูลนิธิ สมาคม หรือบริษัทที่ ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งต้องมีการกําหนดเงื่อนไขให้ลูกจ้างกลับเข้าทํางานให้แก่บริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นหลังจากสําเร็จการศึกษาหรือผ่านการฝึกอบรมแล้ว
สถานศึกษาตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดการศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการสําหรับการศึกษาในระดับที่ต่ํากว่าอุดมศึกษา หรือต้องจัดการศึกษาตามหลักสูตรที่ได้รับอนุมัติจากทบวงมหาวิทยาลัยสําหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา หรือต้องจัดการศึกษาตามหลักสูตรที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการสําหรับโรงเรียนนอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือต้องจัดการฝึกอบรมเป็นการทั่วไป (Public Training) ตามหลักสูตรที่สถานศึกษานั้น ๆ ได้จัดขึ้น
สถานฝึกอบรมวิชาชีพตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดการฝึกอบรมเป็นการทั่วไป (Public Training) เพื่อให้บริการฝึกอบรมไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาชีพใด
ข้อ ๔ ค่าใช้จ่ายที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจ่ายให้แก่สถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพตามข้อ 2 ประกอบด้วย
(1) ค่าใช้จ่ายการศึกษาที่เป็นค่าเล่าเรียน ค่าลงทะเบียน หรือค่าบํารุง
(2) ค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมที่เป็นค่าธรรมเนียมเข้าอบรม หรือค่าลงทะเบียน
ค่าใช้จ่ายการศึกษาหรือค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมตามวรรคหนึ่ง หมายความ รวมถึง ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเดินทาง เพื่อเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมและค่าใช้จ่ายในการดูงานในประเทศหรือต่างประเทศตามที่กําหนดในหลักสูตร (ถ้ามี) ที่สถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพได้เรียกเก็บจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลด้วย
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง ต้องมีใบเสร็จรับเงินของ สถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพที่ออกให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเพื่อเรียกเก็บค่าใช้จ่ายการศึกษาหรือค่าใช้จ่ายการฝึกอบรม เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับ เงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง จ่ายค่าใช้จ่ายการศึกษาหรือค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมให้แก่สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษา เอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพเอกชนเฉพาะที่มีฐานะเป็นมูลนิธิ สมาคม หรือบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวต้องจัดทํารายงานเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตาม (1) และ (2) ตามแบบที่แนบท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกําหนดสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพที่รับลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเข้าศึกษาหรือฝึกอบรม ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545
ข้อ ๕ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้าง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของ กิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นนายจ้างตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ บริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลเป็นจํานวนร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 288) พ.ศ. 2538
(1) หลักสูตรที่ใช้ฝึกอบรมลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ต้องเป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างและได้รับการรับรองจากกระทรวงแรงงานและ สวัสดิการสังคม และค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมลูกจ้างแต่ละคนนั้นต้องเป็นไปตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
(2) ลูกจ้างที่เข้ารับการฝึกอบรมต้องเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลนั้นไม่น้อยกว่า 6 เดือน
(3) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน ลูกจ้างของตนต้องมีการกําหนดเงื่อนไขให้ลูกจ้างที่เข้ารับการฝึกอบรมนั้นกลับเข้าทํางานให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นหลังจากการฝึกอบรมเสร็จสิ้น
(4) วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ในการฝึกอบรมตามหลักสูตรตาม (1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องกําหนดลักษณะ ขนาด และคุณสมบัติของวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อ มิให้ปะปนกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบกิจการตามปกติของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
ข้อ ๖ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาหรือฝึกอบรมลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่เป็นนายจ้างตามข้อ 2 ถึงข้อ 5 ไม่ถือเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ลูกจ้างแต่ละคนได้รับซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ลูกจ้างแต่ละคนจึงไม่ต้องนําค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาหรือฝึกอบรมในส่วนของตนไปรวมคํานวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่อย่างใด
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,874 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 121/2545 เรื่อง การจัดทำและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากร ที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 121/2545
เรื่อง การจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากร ที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์
-----------------------------------
เนื่องด้วยกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับใช้ทางกฎหมายของข้อความที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มีสาระสําคัญว่า ในกรณีที่กฎหมายกําหนดให้นําเสนอหรือเก็บรักษาข้อความใดในสภาพที่เป็นมาแต่เดิมอย่างเอกสารต้นฉบับ ถ้าได้นําเสนอหรือเก็บรักษาในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าได้มีการนําเสนอหรือเก็บรักษาเป็นเอกสารต้นฉบับตามกฎหมายแล้ว หรือในกรณีที่กฎหมายกําหนดให้เก็บรักษาเอกสารหรือข้อความใด ถ้าได้เก็บรักษาในรูปแบบของ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าได้มีการเก็บรักษาเอกสารหรือข้อความตามที่กฎหมายต้องการแล้ว
บทบัญญัติดังกล่าวมีผลกระทบต่อการจัดทําและการจัดเก็บบัญชี รายงาน และเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากร ซึ่งผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้อง จัดทําและจัดเก็บไว้ตามประมวลรัษฎากร แต่โดยที่การจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐาน ดังกล่าว ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนอาจจัดทําเอกสารหลักฐานที่เป็นต้นฉบับในรูปแบบกระดาษและจัดเก็บสําเนาไว้ในรูปแบบกระดาษ หรืออาจจัดทําเอกสารหลักฐานที่เป็นต้นฉบับในรูปแบบกระดาษและจัดเก็บสําเนาไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรืออาจจัดทําเอกสารหลักฐานที่เป็นต้นฉบับในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และจัดเก็บสําเนาไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่ว่าจะดําเนินการในลักษณะใด การจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรต้องมีความถูกต้องและต้องกระทําตามวิธีการแบบปลอดภัยที่เชื่อถือได้
ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรมีความสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และเพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําเกี่ยวกับการจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่มีข้อความอยู่ใน รูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคําสั่งนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
(1) คําว่า “เอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากร” หมายความว่า เอกสารหลักฐานที่ประมวลรัษฎากรกําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ ต้องจัดทําหรือมีหน้าที่ต้องยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมิน เช่น บัญชีงบดุล บัญชีทําการ บัญชีกําไร ขาดทุน บัญชีรายรับก่อนหักรายจ่าย บัญชีพิเศษที่ต้องจัดทําตามประมวลรัษฎากร รายงานเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม รายงานแสดงรายรับก่อนหักรายจ่ายที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ หนังสือ รับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ใบกํากับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ ใบแทนใบกํากับภาษี ใบแทนใบเพิ่มหนี้ ใบแทนใบลดหนี้ ใบรับ ใบส่งของ เอกสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ และเอกสารประกอบการลงบัญชีหรือประกอบการลงรายงาน
(2) คําว่า “ข้อความ” หมายความว่า เรื่องราวหรือข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะปรากฏในรูปแบบของตัวอักษร ตัวเลข เสียง ภาพ หรือรูปแบบอื่นใดที่สื่อความหมายได้โดยสภาพของสิ่งนั้นเองหรือโดยผ่านวิธีการใด ๆ
(3) คําว่า “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง รับ เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ หรือโทรสาร
(4) คําว่า “ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า อักษร อักขระ ตัวเลข เสียงหรือสัญลักษณ์อื่นใดที่สร้างขึ้นให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งนํามาใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น และเพื่อแสดงว่าบุคคลดังกล่าวยอมรับข้อความในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น
(5) คําว่า “เจ้าของลายมือชื่อ” หมายความว่า ผู้ซึ่งถือข้อมูลสําหรับใช้สร้างลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์และสร้างลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นในนามตนเองหรือแทนบุคคลอื่น
ข้อ ๒ กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนได้จัดทําเอกสาร หลักฐานตามประมวลรัษฎากรตามมาตรา 86/4 มาตรา 86/5 มาตรา 86/6 มาตรา 86/7 มาตรา 86/9 มาตรา 86/10 มาตรา 86/12 มาตรา 105 ทวิ และมาตรา 105 จัตวา แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ไม่ว่าจะจัดทําด้วยวิธีการใด ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องส่งมอบเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวที่เป็นต้นฉบับให้แก่ผู้รับในรูปแบบกระดาษ
ข้อ ๓ กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับเอกสาร หลักฐานตามประมวลรัษฎากรตามมาตรา 86/4 มาตรา 86/5 มาตรา 86/6 มาตรา 86/7 มาตรา 86/9 มาตรา 86/10 มาตรา 86/12 มาตรา 86/14 มาตรา 105 ทวิ และมาตรา 105 จัตวา แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นต้นฉบับในรูปแบบกระดาษ หรือได้รับเอกสารหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ รายจ่ายได้ตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ในรูปแบบกระดาษ หากผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือ ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ให้สามารถกระทําได้ ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 5 และข้อ 6
กรณีเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรตามวรรคหนึ่งที่ได้จัดเก็บไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แล้วปรากฏว่า มีความจําเป็นต้องตรวจสอบประกอบกับเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรในรูปแบบกระดาษ ให้เจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนดังกล่าวส่งมอบเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรในรูปแบบกระดาษ
ข้อ ๔ กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งมีหน้าที่ต้องจัดทําเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากร ได้จัดทําเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่เป็นต้นฉบับในรูปแบบกระดาษและจัดเก็บสําเนาไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือได้จัดทําเอกสาร หลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่เป็นต้นฉบับในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และจัดเก็บสําเนาไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ให้สามารถกระทําได้ ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 5 และข้อ 6
ข้อ ๕ การจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามข้อ 3 และข้อ 4 จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ข้อความที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถเข้าถึงและนํากลับมาใช้ได้โดยความหมายของข้อความไม่เปลี่ยนแปลง
(2) ได้เก็บรักษาข้อความที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น ให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นอยู่ในขณะที่สร้าง ส่ง หรือได้รับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น หรืออยู่ในรูปแบบที่สามารถแสดงข้อความที่สร้าง ส่ง หรือได้รับให้ปรากฏอย่างถูกต้องได้
(3) ได้เก็บรักษาข้อความส่วนที่ระบุถึงแหล่งกําเนิด ต้นทางที่สร้าง ส่ง จํานวนหน่วยของข้อมูลที่ส่ง วัน เดือน ปีและเวลาที่ส่ง รหัสหน่วยงานที่ส่ง และปลายทางของข้อมูล จํานวนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลายทางได้รับ วัน เดือน ปีและเวลาที่ได้รับข้อมูล
(4) สามารถเรียกดูหรือพิมพ์ข้อมูลของเอกสารหลักฐานที่ได้เก็บรักษา ข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ในทันทีที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งหรือผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเรียกร้อง ทั้งนี้ รายการหรือข้อความที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะต้อง ถูกต้องครบถ้วนตามที่ประมวลรัษฎากรกําหนด และเป็นรายการหรือข้อความเช่นเดียวกับที่ได้บันทึกไว้ ซึ่งมีรายการหรือข้อความและรูปแบบเช่นเดียวกันกับเอกสารที่จัดทําเป็นกระดาษ
(5) ต้องสามารถถ่ายโอนข้อมูล (Export File) ที่เก็บบันทึกไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ลงในสื่อบันทึกข้อมูล เป็นรายเดือนหรือรอบระยะเวลาบัญชีหรือตามระยะเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้ทราบ โดยมีรูปแบบ (Format) ของรายการต่าง ๆ ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกําหนด
(6) กรณีเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรเป็นเอกสารที่กฎหมายกําหนดให้ลงลายมือชื่อ และมีการจัดทําเอกสารหลักฐานดังกล่าวในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การลงลายมือชื่อจะต้องจัดทําลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อถือได้ และสามารถระบุตัวเจ้าของ ลายมือชื่อได้ ซึ่งเจ้าของลายมือชื่อจะต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควรให้แน่ใจในความถูกต้องและความสมบูรณ์ของการแสดงสาระสําคัญทั้งหมดที่ได้กระทําโดยเจ้าของลายมือชื่อ
กรณีเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรตามวรรคหนึ่ง เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ ถือว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีการลงลายมือชื่อแล้ว
(ก) ใช้วิธีการที่สามารถระบุตัวเจ้าของลายมือชื่อและสามารถแสดงได้ว่าเจ้าของลายมือชื่อรับรองหรือยอมรับข้อความในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นว่าเป็นของตน และ
(ข) วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่เชื่อถือได้โดยเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการสร้างหรือส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยคํานึงถึงพฤติการณ์แวดล้อมหรือข้อตกลงของคู่กรณี
ข้อ ๖ การจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะต้องกระทําตามวิธีการแบบปลอดภัยที่เชื่อถือได้ทั้งในส่วนของระบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) และระบบซอฟต์แวร์ (Software) ดังต่อไปนี้
(1) มีระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้ โดยจะต้อง
(ก) สามารถแสดงภาพการทํางานรวมของระบบงานทั้งหมด (System Flowchart) ได้
(ข) แสดงระดับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้ระบบ โดยระบุจํานวนและระดับเจ้าหน้าที่ที่สามารถบันทึก อ่าน หรือเข้าไปใช้ระบบงานในแต่ละระดับได้
(ค) เป็นโปรแกรมที่เมื่อบันทึกข้อมูลแล้วจะแก้ไขรายการนั้นๆ โดย ไร้ร่องรอยไม่ได้ การแก้ไขรายการไม่ให้ใช้วิธีลบทิ้ง หรือล้างรายการออก ถ้าจะแก้ไขต้องบันทึกรายการปรับปรุงเพิ่มเข้าไปเพื่อแสดงให้เห็นรายการก่อนปรับปรุงและหลังปรับปรุง และต้องมี รายงานการแก้ไขรายการเพื่อการตรวจสอบได้
(ง) มีการควบคุมโดยใช้รหัสผ่านสําหรับผู้มีสิทธิเข้าไปใช้ระบบงานทุกระดับและมีระบบงานที่บันทึกการเปลี่ยนรหัสผ่านทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง
(จ) มีรายงานบันทึกการใช้ระบบงาน โดยระบุให้ทราบถึงรหัสประจําตัวของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้ระบบ งานที่ทํา วัน เดือน ปี และเวลาที่เข้าใช้ระบบงาน (Access) ในกรณี ที่มีการแก้ไขรายการจะต้องระบุให้ทราบถึงรหัสประจําตัวของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้ระบบ จํานวน และรายละเอียดของรายการที่แก้ไขปรับปรุง
(ฉ) มีระบบการตรวจสอบผู้เข้าใช้หรือผู้เข้าไปแก้ไขข้อมูลในระบบ และมีกระบวนการในการตรวจสอบข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบที่สามารถแสดงว่าข้อมูลดังกล่าวได้บันทึกไว้ครบถ้วนทุกรายการแล้ว และไม่มีการแก้ไขรายการของเอกสารที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
(2) กรณีแฟ้มข้อมูลมีการควบคุมโดยการเข้ารหัส (Encryption) เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูล ถ้ามีการถอดรหัส (Decryption) ต้องบันทึกหลักฐานไว้ทุกครั้งเพื่อการตรวจสอบ และสามารถจัดพิมพ์เป็นรายงานเพื่อการตรวจสอบได้
ข้อ ๗ เพื่อประโยชน์ในการแสดงข้อมูลและข้อเท็จจริงแก่เจ้าพนักงานประเมินเกี่ยวกับการจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ให้เจ้าพนักงานประเมินแนะนําให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งได้จัดทําและจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากร ตามข้อ 3 และข้อ 4 แจ้งการจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต่ออธิบดีกรมสรรพากรตามแบบ ภ.อ.11 (แบบแจ้งการจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์) โดยยื่นผ่านสรรพากรพื้นที่ในท้องที่ที่สํานักงานหรือสถานประกอบการตั้งอยู่ เว้นแต่กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ตามที่กรมสรรพากรกําหนด ให้ยื่นผ่านผู้อํานวยการสํานักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง มีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้แจ้งการจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นรายสถานประกอบการ ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนดังกล่าวจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชําระภาษีรวมกันหรือไม่ก็ตาม โดยยื่นผ่านสรรพากรพื้นที่ในท้องที่ที่สถานประกอบการที่เป็นสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ เว้นแต่กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนเป็น ผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ตามที่กรมสรรพากรกําหนด ให้ยื่นผ่านผู้อํานวยการสํานักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
ข้อ ๘ ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนตามข้อ 7 ยื่นแบบ ภ.อ.11 (แบบแจ้งการจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์) โดยแสดงรายการให้ถูกต้องครบถ้วน พร้อมกับแนบเอกสารดังต่อไปนี้
(1) กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนเป็นบุคคลธรรมดา ให้แนบภาพถ่ายบัตรประจําตัวประชาชน ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือของผู้ประกอบการจดทะเบียน
(2) กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนเป็นคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนสามัญ กองทุน มูลนิธิที่มิใช่นิติบุคคล ให้แนบภาพถ่ายบัตรประจําตัวประชาชนของผู้มีอํานาจกระทําการในนามคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
(3) กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 องค์การของรัฐบาลตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร สหกรณ์ และองค์กรอื่นที่กฎหมายกําหนดให้เป็นนิติบุคคล ให้แนบภาพถ่ายบัตรประจําตัวประชาชนของกรรมการผู้จัดการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการ
(4) กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและได้ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นปกติธุระโดยมีตัวแทนอยู่ในราชอาณาจักร และ ตัวแทนนั้นได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรดังกล่าว ให้แนบภาพถ่ายบัตรประจําตัวประชาชนของตัวแทนผู้มีอํานาจกระทําการแทน
(5) การยื่นแบบ ภ.อ.11 (แบบแจ้งการจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์) ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียนตาม (1) ถึง (4) กรณีมีการมอบอํานาจให้บุคคลอื่นยื่นแบบ ภ.อ.11 (แบบแจ้งการจัดทําและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์) ให้แนบภาพถ่ายบัตรประจําตัวประชาชนของผู้มอบอํานาจ และภาพถ่ายบัตรประจําตัวประชาชนของผู้รับมอบอํานาจ
(6) ภาพการทํางานรวมของระบบงานทั้งหมด (System Flowchart) และคําอธิบายระบบงานรวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยและคําอธิบายวิธีการเรียกพิมพ์ด้วย
(7) ตัวอย่างของเอกสารหลักฐานที่จัดทําและจัดเก็บที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ใบกํากับภาษี ใบรับ และใบส่งของ
ข้อ ๙ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หนังสือตอบข้อหารือหรือทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ ให้เป็นอันยกเลิก
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,875 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 59/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์และกำหนดเวลาในการยื่นรายงานของบริษัทหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 59/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์และกําหนดเวลาในการยื่นรายงานของบริษัทหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 109 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้สํานักงานกําหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ยื่นรายงานหรือเอกสาร พร้อมทั้งกําหนดเวลา ในเรื่องดังต่อไปนี้เป็นสําคัญ
(1) รายงานฐานะการเงินและผลการดําเนินงาน
(2) รายงานธุรกิจหลักทรัพย์
(3) รายงานอื่นตามที่สํานักงานกําหนด เพื่อประโยชน์ในการกํากับและตรวจสอบฐานะและการดําเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์
ข้อ ๒ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์ และกําหนดเวลาในการยื่นรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๓ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์ และกําหนดเวลาในการยื่นรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
| | |
| --- | --- |
| | (นายวิจิตร สุพินิจ) |
| | ประธานกรรมการคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ |
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์และกําหนดเวลาในการยื่นรายงานหรือแสดงเอกสารของบริษัทหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์ และกําหนดเวลาในการยื่นรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,876 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 120/2545 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 120/2545
เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
--------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําผู้มี เงินได้หรือผู้ประกอบการที่เป็นนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทํา ภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย สําหรับการเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ คําว่า “ภาพยนตร์” หมายความว่า ภาพ เสียง รวมทั้งข้อความที่มีการ ถ่าย อัด หรือบันทึกไว้ในฟิล์มหรือวัสดุใด ๆ ที่สามารถถ่ายทอดออกมาให้เป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ในลักษณะต่อเนื่องกันด้วยเครื่องฉายภาพยนตร์หรือเครื่องมืออื่นใด และให้หมายความรวมถึงส่วนหนึ่งส่วนใดของภาพยนตร์ที่ใช้เพื่อการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ด้วย
คําว่า “ถ่ายทําภาพยนตร์” หมายความว่า การถ่าย อัด บันทึก หรือทําด้วยวิธีอื่นใดซึ่งภาพ เสียง หรือข้อความเพื่อให้เป็นภาพยนตร์
คําว่า “คณะถ่ายทําภาพยนตร์” หมายความว่า ผู้ดําเนินการถ่าย อัด บันทึก หรือทําด้วยวิธีอื่นใดซึ่งภาพ เสียง หรือข้อความเพื่อให้เป็นภาพยนตร์
คําว่า “นักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ” หมายความว่า นักแสดง ภาพยนตร์ซึ่งมีภูมิลําเนาอยู่ในต่างประเทศ และเข้ามาแสดงภาพยนตร์ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
คําว่า “เจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย” หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับการถ่ายทําภาพยนตร์ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย เช่น ผู้กํากับการแสดง ช่างภาพ เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค เป็นต้น
คําว่า “ผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย” หมายความว่า ผู้ดําเนินการติดต่อประสานงานและกํากับการดําเนินงานของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
ข้อ ๒ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ได้เข้ามาถ่ายทําภาพยนตร์ของตนเองในประเทศไทย โดยไม่มีรายได้จากการถ่ายทําภาพยนตร์ ดังกล่าว กรณียังไม่ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกําไรในประเทศไทย จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 66 และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๓ การถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย นักแสดงภาพยนตร์ ต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งที่มีภูมิลําเนาในประเทศไทยและมิได้มีภูมิลําเนาในประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ในประเทศไทย จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๔ การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ ให้นําเงินได้ของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร มารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 48(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
เงินได้ของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศที่ต้องนํามารวมคํานวณเสียภาษีตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยเงินได้พึงประเมินหรือค่าตอบแทนจากการประกอบอาชีพนักแสดง ภาพยนตร์ต่างประเทศ รางวัลและประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการแสดง เช่น ค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะจ่ายตามจํานวนคราวที่แสดง จ่ายเป็น การเหมา หรือจ่ายในลักษณะอื่นทํานองเดียวกัน ทั้งนี้ ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะซึ่งนักแสดง ภาพยนตร์ต่างประเทศได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจําเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น นักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศย่อมได้รับยกเว้นภาษี เงินได้สําหรับค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะดังกล่าวตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงในอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่ประเทศไทยได้ทําไว้กับประเทศนั้น ๆ
ตัวอย่าง
นาย A นักแสดงชาวอเมริกัน ได้เข้ามาแสดงในการถ่ายทําภาพยนตร์ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยได้รับเงินได้เป็นค่าจ้างแสดงภาพยนตร์ ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยงที่เป็นค่าที่พักและค่าอาหาร ดังนั้น นาย A ต้องนําเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษี เงินได้ในประเทศไทย แต่สําหรับค่าพาหนะและค่าเบี้ยเลี้ยง ซึ่งได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจําเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น นาย A ย่อมได้รับ ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับค่าพาหนะและค่าเบี้ยเลี้ยง อย่างไรก็ดี หากนาย A ได้รับเงินได้จากการแสดง ภาพยนตร์ในประเทศไทยไม่เกิน 100 ดอลล่าร์สหรัฐหรือเป็นเงินไทยในจํานวนเทียบเท่าต่อวัน หรือเป็นจํานวนรวมกันไม่เกิน 3,000 ดอลล่าร์สหรัฐหรือเป็นเงินไทยในจํานวนเทียบเท่าในปีภาษี นาย A ย่อมไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย
นักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศมีหน้าที่ยื่นรายการและชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละ 2 ครั้ง ดังนี้
(1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี ให้นําเงินได้ของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนไปยื่นรายการและชําระภาษีภายในเดือนกันยายนของทุกปีภาษี โดยใช้แบบ ภ.ง.ด.94
(2) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปี ให้นําเงินได้ของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคมไปยื่นรายการและชําระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป โดยใช้แบบ ภ.ง.ด.90 ทั้งนี้ ให้นําภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีที่ชําระไว้ตาม (1) มาถือเป็นเครดิตภาษีในการเสียภาษี
ข้อ ๕ ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศตามข้อ 4 ให้คํานวณหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกําหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้ พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 ดังนี้
(1) หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจําเป็นและสมควร หรือ
(2) หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ดังนี้
(ก) สําหรับเงินได้ส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท ร้อยละ 60
(ข) สําหรับเงินได้ส่วนที่เกิน 300,000 บาท ร้อยละ 40
การหักค่าใช้จ่ายตาม (ก) และ (ข) รวมกันต้องไม่เกิน 600,000 บาท
กรณีสามีและภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ของนักแสดงภาพยนตร์ ต่างประเทศ ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ถือเอาเงินได้ของภริยาเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี โดยให้ต่างฝ่ายต่างหักค่า ใช้จ่ายตามเกณฑ์ในวรรคหนึ่ง
ตัวอย่าง
นาย ก และนาง ข เป็นนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศและเป็นสามีภริยากัน ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ โดยนาย ก มี เงินได้พึงประเมิน 2,000,000 บาท และนาง ข มีเงินได้พึงประเมิน 500,000 บาท ดังนั้น นาย ก จึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและชําระภาษีในนามของนาย ก โดยนําเงินได้ของนาง ข มารวมคํานวณภาษีด้วย และหากเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ให้หักค่าใช้จ่ายได้ ดังนี้
- เงินได้ของนาย ก หักค่าใช้จ่ายได้จํานวน 600,000 บาท
- เงินได้ของนาง ข หักค่าใช้จ่ายได้จํานวน 260,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาที่มีสิทธิหักได้ 860,000 บาท
ข้อ ๖ ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศตามข้อ 4 ให้คํานวณหักค่าลดหย่อนตามมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คํานวณหักค่าลดหย่อนคู่สมรสและหรือบุตรได้ ไม่ว่าคู่สมรสและหรือบุตรจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่
กรณีนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย จะคํานวณหักค่าลดหย่อนคู่สมรสและหรือบุตรได้ เฉพาะคู่สมรสและหรือบุตรที่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
คําว่า “ผู้อยู่ในประเทศไทย” หมายถึง บุคคลผู้อยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะรวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
ข้อ ๗ คนต่างด้าวที่มีเงินได้พึงประเมินจากการเป็นนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยมีหน้าที่ต้องยื่นคําร้องตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนด เพื่อขอรับใบผ่าน ภาษีอากรภายในกําหนดเวลาไม่เกินสิบห้าวันก่อนออกเดินทาง ไม่ว่ามีเงินภาษีอากรที่ต้องชําระหรือไม่ตามมาตรา 4 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๘ การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ให้ผู้จ่ายเงินได้ให้แก่นักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ มีหน้าที่คํานวณหักภาษี ณ ที่จ่ายและนําส่ง ณ ที่ว่าการอําเภอท้องที่ภายในเจ็ดวัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้ ดังนี้
(1) กรณีผู้จ่ายเงินได้เป็นรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งจ่ายเงินได้ดังกล่าวให้แก่ผู้รับรายหนึ่ง ๆ มีจํานวนรวมทั้งสิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป แม้การจ่ายนั้นจะได้แบ่งจ่ายครั้งหนึ่ง ๆ ไม่ถึง 10,000 บาท ให้คํานวณหักในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้ที่จ่าย เว้นแต่การจ่ายเงินได้ให้แก่นักแสดงภาพยนตร์ ต่างประเทศที่ได้จากการประกวดหรือแข่งขันให้คํานวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 50(4) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีผู้จ่ายเงินได้เป็นบุคคล บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือ นิติบุคคลอื่น ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ให้คํานวณหักตามอัตราที่กําหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เว้นแต่การจ่ายเงินได้ให้แก่นักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศเฉพาะกรณีที่มีการดําเนินการถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศไทยโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และได้รับอนุญาตให้ถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศไทย จากคณะอนุกรรมการพิจารณาคําขออนุญาตถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ตามระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ว่าด้วยการขออนุญาตถ่ายทําภาพยนตร์ ต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. 2544 ให้คํานวณหักในอัตราร้อยละ 10.0 ทั้งนี้ ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 9(2)(ก) ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่ง ให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.111/2545 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2545
กรณีนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศได้รับเงินได้จากการแสดงภาพยนตร์และได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ในอัตราร้อยละ 10.0 ตามวรรคหนึ่ง เมื่อถึงกําหนดยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศจะเลือกไม่นําเงินได้จากการแสดงภาพยนตร์มารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามข้อ 4 ก็ได้ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่นักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศดังกล่าวไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ข้อ ๙ การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ ต่างประเทศในประเทศไทย ให้นําเงินได้ของเจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากร มารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 48(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
เงินได้ของเจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยที่ต้องนํามารวมคํานวณเสียภาษีตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยเงินได้พึงประเมินหรือค่าตอบแทน จากการประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับการถ่ายทําภาพยนตร์ รางวัลและประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการถ่ายทําภาพยนตร์ เช่น ค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะจ่ายตามจํานวนคราวที่มีการถ่ายทําภาพยนตร์ จ่ายเป็นการเหมา หรือจ่ายในลักษณะอื่นทํานองเดียวกัน ทั้งนี้ ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะซึ่งเจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ ต่างประเทศในประเทศไทยได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจําเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น เจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยย่อมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะดังกล่าวตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร
การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยตามวรรคหนึ่ง ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่คํานวณหักภาษี ณ ที่จ่ายนําส่งตามมาตรา 50(1) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีเจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงในอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่ประเทศไทยได้ทําไว้กับประเทศนั้น ๆ
ตัวอย่าง
นาย B ผู้กํากับการแสดงชาวอเมริกันเป็นลูกจ้างของบริษัทผลิตภาพยนตร์แห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยได้รับเงินได้เป็นค่าจ้างกํากับการแสดง ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยงที่เป็นค่าที่พักและค่าอาหาร ดังนั้น นาย B ต้องนําเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย แต่สําหรับค่าพาหนะและค่าเบี้ยเลี้ยง ซึ่ง ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจําเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น นาย B ย่อมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับค่าพาหนะและค่าเบี้ยเลี้ยง อย่างไรก็ดี หากนาย B เข้ามาทํางานในประเทศไทยไม่เกิน 183 วัน เงินได้ที่ได้รับนั้นจ่ายโดยหรือในนามของนายจ้างในประเทศสหรัฐอเมริกา และเงินได้นั้นไม่ตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการที่นายจ้างมีอยู่ในประเทศไทย นาย B ย่อมไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย
ข้อ ๑๐ การเสียภาษีเงินได้ของผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และการหักภาษี ณ ที่จ่ายของผู้จ่ายเงินได้ให้แก่ผู้ประสานงานในการถ่ายทํา ภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ให้ปฏิบัติ ดังนี้
(1) กรณีผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องนําเงินได้ที่ได้รับเฉพาะจากการติดต่อประสานงาน ในการถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร มารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 48(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
เงินได้ของผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยที่ต้องนํามารวมคํานวณเสียภาษีตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยเงินได้พึงประเมินหรือ ค่าตอบแทนจากการติดต่อประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศไทย รางวัลและประโยชน์ ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการติดต่อประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศไทย เช่น ค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยงค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะจ่ายตามจํานวนคราวที่มีการติดต่อประสานงาน จ่ายเป็นการเหมา หรือจ่ายในลักษณะอื่นทํานองเดียวกัน ทั้งนี้ ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะ ซึ่งผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจําเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น ผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ย่อมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะดังกล่าวตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร
การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยตามวรรคหนึ่ง ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่คํานวณหักภาษี ณ ที่จ่ายนําส่งตามมาตรา 50(1) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของ ต่างประเทศและประกอบกิจการในประเทศไทย ต้องนํารายได้ที่ได้จากการติดต่อประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ดังกล่าวมารวมคํานวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 66 และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ ต่างประเทศในประเทศไทยตามวรรคหนึ่ง ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่คํานวณหักภาษี ณ ที่จ่ายนําส่ง ดังนี้
(ก) กรณีผู้จ่ายเงินได้เป็นรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่น ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่คํานวณหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1.0 ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
(ข) กรณีผู้จ่ายเงินได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือ นิติบุคคลอื่น ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่คํานวณหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 3/1 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่าย เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2544
(3) กรณีผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ที่ได้รับจากการติดต่อประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศไทย ทั้งนี้ เฉพาะเงินได้ที่เป็นค่าตอบแทนในการติดต่อประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศไทยเท่านั้น โดยให้ผู้จ่ายเงินได้ไม่ว่าจะเป็นบุคคล บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล รัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่น หักภาษี นําส่งจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร ตามอัตราภาษีเงินได้สําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ให้ปฏิบัติตาม ข้อตกลงในอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่ประเทศไทยได้ทําไว้กับประเทศนั้น ๆ
ข้อ ๑๑ การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
(1) การให้บริการของนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(ฒ) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) การให้บริการของเจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยให้แก่คณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย อยู่ในบังคับต้องเสียภาษี มูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/1(10) และมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่เป็นการให้บริการตามสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 81(1)(ฐ) แห่งประมวลรัษฎากร
(3) การให้บริการของผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ถือเป็นการให้บริการในราชอาณาจักร อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/1(10) และมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร
การจ่ายค่าบริการตาม (2) และ (3) ให้แก่ผู้ประกอบการดังต่อไปนี้ ผู้จ่ายเงินค่าบริการมีหน้าที่นําส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสียภาษีตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร
(ก) ผู้ประกอบการซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของคณะถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยที่ได้เข้ามาดําเนินการถ่ายทําภาพยนตร์ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ข) ผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยที่ได้เข้ามาดําเนินการติดต่อประสานงานในราชอาณาจักรเป็นการ ชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ค) ผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยได้ดําเนินการติดต่อประสานงานในต่างประเทศ
ข้อ ๑๒ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หนังสือตอบข้อหารือ หรือทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
ข้อ ๑๓ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ที่ลงในคําสั่งนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
(นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,877 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 36/2547 เรื่อง การทำธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กธ. 36/2547
เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์
โดยที่หลักเกณฑ์ในการกํากับดูแลการออกและเสนอขายตั๋วเงินที่เป็นหลักทรัพย์ได้กําหนดให้การออกตั๋วเงินเพื่อการระดมทุนจากผู้ลงทุนทั่วไปต้องได้รับอนุญาตและมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ ในขณะเดียวกันก็ได้เปิดโอกาสให้การออกตั๋วเงินที่เสนอขายในกลุ่มบุคคลใกล้ชิดและการออกตั๋วเงินเพื่อกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินสามารถกระทําได้อย่างคล่องตัวโดยไม่ต้องผ่านระบบการอนุญาตหรือการเปิดเผยข้อมูล ดังนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าตั๋วเงินที่จะกระจายออกไปสู่ผู้ลงทุนทั่วไปจะเป็นตั๋วเงินที่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว หรือในกรณีที่มิได้มีการเปิดเผยข้อมูล ก็ยังมีความน่าเชื่อถือพอสมควร คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงออกประกาศกําหนดขอบเขตการทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงินอื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ เพื่อกํากับดูแลการกระจายตั๋วเงินไปสู่ผู้ลงทุนทั่วไป
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 มาตรา 98(8) มาตรา 113 มาตรา 114 และมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และข้อ 6 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 16/2540 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการจําหน่ายตั๋วเงินที่เป็นหลักทรัพย์โดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2540
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
(1) คําว่า “ผู้ลงทุนสถาบัน” และ “บริษัทจดทะเบียน” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการยื่นและการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์
(2) “สถาบันการเงิน” หมายความว่า
(ก) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(ข) บริษัทเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(ค) บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(ง) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ซึ่งเป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
(3) “บริษัทประกันภัย” หมายความว่า
(ก) บริษัทประกันวินาศภัย ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
(ข) บริษัทประกันชีวิต ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
(4) “ทําธุรกรรม” ให้หมายความรวมถึง ซื้อ รับโอน ขาย หรือโอน
(5) “สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ หรือการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้งสถาบันการเงินอื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์หรือการจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ อันเป็นตราสารแห่งหนี้
ข้อ ๔ ให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามข้อ 3 ทําธุรกรรมในตั๋วเงินที่เป็นหลักทรัพย์ได้เมื่อเป็นกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) ซื้อหรือรับโอนตั๋วเงินเพื่อตนเอง
(2) ทําธุรกรรมกับธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์ สถาบันการเงินบริษัทประกันภัย หรือบุคคลอื่นตามที่สํานักงานประกาศกําหนด เมื่อบุคคลดังกล่าวทําธุรกรรมในนามของตนเอง
(3) ขายหรือโอนตั๋วเงินที่มีลักษณะดังนี้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
(ก) ตั๋วเงินที่มีสถาบันการเงินสลักหลังแบบมีสิทธิไล่เบี้ย หรือรับอาวัลผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วทั้งจํานวน หรือให้การรับรองตลอดไป
ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามข้อ 3 มีสถานะเป็นสถาบันการเงินอยู่ด้วย การสลักหลัง รับอาวัล หรือให้การรับรองตั๋วเงินตามวรรคหนึ่ง จะกระทําในคราวเดียวกับที่มีการทําธุรกรรมในตั๋วเงินนั้นก็ได้
(ข) ตั๋วเงินที่ออกโดยนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ และนิติบุคคลที่ออกตั๋วเงินดังกล่าวได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินนั้นต่อสํานักงาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
(ค) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียนและมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั๋วเงิน ผู้ออกตั๋วเงิน หรือผู้รับอาวัลหรือผู้ค้ําประกันหนี้ตามตั๋วเงิน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
(ง) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทที่มิใช่บริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทที่ออกตั๋วเงินดังกล่าวได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินนั้นต่อสํานักงาน และมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั๋วเงิน ผู้ออกตั๋วเงิน หรือผู้รับอาวัลหรือผู้ค้ําประกันหนี้ตามตั๋วเงิน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวและข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
(4) ขายหรือโอนตั๋วเงิน ที่มีลักษณะดังนี้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน
(ก) ตั๋วเงินที่เข้าลักษณะตาม (3)(ก)
(ข) ตั๋วเงินที่เข้าลักษณะตาม (3)(ข) ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
(ค) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน
(ง) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทที่มิใช่บริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทที่ออกตั๋วเงินดังกล่าวได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินนั้นต่อสํานักงาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
(5) ขายหรือโอนตั๋วเงินให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
ข้อ ๕ ให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามข้อ 3 ทําธุรกรรมในตั๋วเงินที่ไม่เป็นหลักทรัพย์ได้ หากตั๋วเงินดังกล่าวมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) ตั๋วเงินที่สถาบันการเงินเป็นผู้สั่งจ่าย ผู้ออกตั๋ว ผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายทั้งจํานวน ผู้รับอาวัลผู้ออกตั๋วทั้งจํานวน หรือผู้จ่ายและให้การรับรองตลอดไป ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ออกตั๋วดังกล่าว
(2) ตั๋วเงินที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายทั้งจํานวน ผู้รับอาวัลผู้ออกตั๋วทั้งจํานวน หรือผู้ค้ําประกันต้นเงินและดอกเบี้ยเต็มจํานวนอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่
ออกตั๋วดังกล่าว
ข้อ ๖ ข้อกําหนดในประกาศนี้ไม่ใช้บังคับกับตั๋วเงินที่ออกและเสนอขายก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ไม่ว่าตั๋วเงินดังกล่าวจะเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ และในกรณีที่เป็นการทําธุรกรรมในตั๋วเงินที่เป็นหลักทรัพย์ ให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 16/2540 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการจําหน่ายตั๋วเงินที่เป็นหลักทรัพย์โดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2540 ต่อไป
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,878 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 38/2549 เรื่อง การทำธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กธ. 38/2549
เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์
(ฉบับที่ 2)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 มาตรา 98(8) มาตรา 113 มาตรา 114 และมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และข้อ 6 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความใน (1) ของข้อ 2 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 36/2547 เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) คําว่า “ผู้ลงทุนสถาบัน” “ผู้ลงทุนรายใหญ่” และ “บริษัทจดทะเบียน” ให้มี ความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการยื่นและการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความใน (ค) และ (ง) ของ (3) ในข้อ 4 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 36/2547 เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(ค) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียนและมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั๋วเงิน ผู้ออกตั๋วเงิน หรือผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ําประกันหนี้ตามตั๋วเงิน
(ง) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทที่มิใช่บริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทที่ออกตั๋วเงินดังกล่าวได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินนั้นต่อสํานักงาน และมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั๋วเงิน ผู้ออกตั๋วเงิน หรือผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ําประกันหนี้ตามตั๋วเงิน”
ข้อ 3 ให้ยกเลิกความใน (4) ของข้อ 4 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 36/2547 เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(4) ขายหรือโอนตั๋วเงิน ที่มีลักษณะดังนี้แก่ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่
1. ตั๋วเงินที่เข้าลักษณะตาม (3)(ก)
2. ตั๋วเงินที่เข้าลักษณะตาม (3)(ข) ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
3. ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน
4. ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทที่มิใช่บริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทที่ออกตั๋วเงินดังกล่าวได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินนั้นต่อสํานักงาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว”
ข้อ 4 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
(หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,879 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 60/2552 เรื่อง การทำธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 60/2552
เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(8) มาตรา 114 และมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) คําว่า “ผู้ลงทุนสถาบัน” “ผู้ลงทุนรายใหญ่” และ “บริษัทจดทะเบียน” ให้อนุโลมตามบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดบทนิยามในประกาศเกี่ยวกับการออกและเสนอขายตราสารหนี้ทุกประเภท
(2) “สถาบันการเงิน” หมายความว่า
(ก) ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(ข) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ซึ่งเป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
(3) “บริษัทประกันภัย” หมายความว่า
(ก) บริษัทประกันวินาศภัย ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
(ข) บริษัทประกันชีวิต ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
(4) “ทําธุรกรรม” ให้หมายความรวมถึง ซื้อ รับโอน ขาย หรือโอน
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ หรือการจัดจําหน่ายหลักทรัพย์
ข้อ ๓ ให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามข้อ 2 ทําธุรกรรมในตั๋วเงินที่เป็นหลักทรัพย์ได้เมื่อเป็นกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) ซื้อหรือรับโอนตั๋วเงินเพื่อตนเอง
(2) ทําธุรกรรมกับธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์ สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย หรือบุคคลอื่นตามที่สํานักงานประกาศกําหนด เมื่อบุคคลดังกล่าวทําธุรกรรมในนามของตนเอง
(3) ขายหรือโอนตั๋วเงินที่มีลักษณะดังนี้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
(ก) ตั๋วเงินที่มีสถาบันการเงินสลักหลังแบบมีสิทธิไล่เบี้ย หรือรับอาวัลผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วทั้งจํานวน หรือให้การรับรองตลอดไป
ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามข้อ 2 มีสถานะเป็นสถาบันการเงินอยู่ด้วย การสลักหลัง รับอาวัล หรือให้การรับรองตั๋วเงินตามวรรคหนึ่ง จะกระทําในคราวเดียวกับที่มีการทําธุรกรรมในตั๋วเงินนั้นก็ได้
(ข) ตั๋วเงินที่ออกโดยนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ และนิติบุคคลที่ออกตั๋วเงินดังกล่าวได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินนั้นต่อสํานักงาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
(ค) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียนและมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั๋วเงิน ผู้ออกตั๋วเงิน หรือผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ําประกันหนี้ตามตั๋วเงิน
(ง) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทที่มิใช่บริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทที่ออกตั๋วเงินดังกล่าวได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินนั้นต่อสํานักงาน และมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั๋วเงิน ผู้ออกตั๋วเงิน หรือผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ําประกันหนี้ตามตั๋วเงิน
(4) ขายหรือโอนตั๋วเงิน ที่มีลักษณะดังนี้แก่ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่
(ก) ตั๋วเงินที่เข้าลักษณะตาม (3) (ก)
(ข) ตั๋วเงินที่เข้าลักษณะตาม (3) (ข) ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
(ค) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน
(ง) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทที่มิใช่บริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทที่ออกตั๋วเงินดังกล่าวได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินนั้นต่อสํานักงาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องแจกจ่ายข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วเงินและลักษณะตั๋วเงินตามแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตั๋วเงินแก่ผู้ลงทุนก่อนการเสนอขายตั๋วเงินดังกล่าว
(5) ขายหรือโอนตั๋วเงินให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
ข้อ ๔ ให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามข้อ 2 ทําธุรกรรมในตั๋วเงินที่ไม่เป็นหลักทรัพย์ได้ หากตั๋วเงินดังกล่าวมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) ตั๋วเงินที่สถาบันการเงินเป็นผู้สั่งจ่าย ผู้ออกตั๋ว ผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายทั้งจํานวน ผู้รับอาวัลผู้ออกตั๋วทั้งจํานวน หรือผู้จ่ายและให้การรับรองตลอดไป ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ออกตั๋วดังกล่าว
(2) ตั๋วเงินที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายทั้งจํานวน ผู้รับอาวัลผู้ออกตั๋วทั้งจํานวน หรือผู้ค้ําประกันต้นเงินและดอกเบี้ยเต็มจํานวนอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ออกตั๋วดังกล่าว
ข้อ ๕ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 36/2547 เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๖ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 36/2547 เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ หรือการจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน และห้ามบริษัทหลักทรัพย์ประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่ธุรกิจหลักทรัพย์ในประเภทที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อรองรับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กย. 36/2547 เรื่อง การทําธุรกรรมในตั๋วเงินโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,880 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 119/2545 เรื่อง การเครดิตภาษีเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 119/2545
เรื่อง การเครดิตภาษีเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไรตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
--------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการเครดิตภาษีเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไร ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.108/2544 เรื่อง การเครดิตภาษีเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไร ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
ข้อ ๒ กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย บุคคลธรรมดาผู้มีเงินได้จะได้รับเครดิตในการคํานวณภาษี โดยนําอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสีย หารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อย ลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้น ได้ผลลัพธ์ เท่าใดให้คูณด้วยจํานวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไรที่ได้รับ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตในการคํานวณภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผลซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกําไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้ได้รับเงินปันผลไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๓ กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผลซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสําหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม ซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินปันผลไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แต่หากผู้ได้รับเงินปันผลเลือกเสียภาษีในอัตรา ร้อยละ 10.0 ของเงินได้ ก็ไม่ต้องนําเงินปันผลไปรวมคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 48(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามมาตรา 48(3) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๔ กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากกองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเงินได้ของกองทุนรวมดังกล่าวได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 42(24) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แต่หากผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้ ก็ไม่ต้องนําเงินส่วนแบ่งของกําไรไปรวมคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 48(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามมาตรา 48(3) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๕ กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร จากกองทุนรวมที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แต่หากผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรยอมให้ผู้จ่ายเงินได้นั้นหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้ เมื่อถึงกําหนดยื่น รายการ ผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินส่วนแบ่งของกําไรดังกล่าวมารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรไม่ขอรับเงินภาษีที่ ถูกหักไว้นั้นคืน หรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 262) พ.ศ. 2536
ข้อ ๖ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยได้รับเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกําไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้ได้รับเงินปันผลได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินปันผลดังกล่าวมารวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
ข้อ ๗ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและบริษัทจดทะเบียน ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรจากกองทุนรวมที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินส่วนแบ่งของกําไรดังกล่าวมารวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 263) พ.ศ. 2536
ข้อ ๘ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งเป็นบริษัทจํากัด ได้รับเงินปันผลจากบริษัทจํากัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือสถาบันการเงิน ที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสําหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม หรือได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรจากกองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินปันผลและเงินส่วนแบ่งของกําไรได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินปันผลและเงินส่วนแบ่งของกําไรดังกล่าวจํานวนกึ่งหนึ่งมารวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง ได้รับเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกําไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้ได้รับเงินปันผลได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินปันผลดังกล่าวจํานวนกึ่งนึ่งมารวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง ได้รับเงินส่วนแบ่งกําไรจากกิจการร่วมค้า ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งกําไรได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินส่วนแบ่งกําไรดังกล่าวทั้งจํานวนมารวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 5 ทวิ (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500
ข้อ ๙ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยดังต่อไปนี้ได้รับเงินปันผลจากบริษัทจํากัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสําหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือ อุตสาหกรรม หรือได้รับเงินส่วนแบ่งของกําไรจากกองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินปันผลและเงินส่วนแบ่งของกําไรได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินปันผลและเงินส่วนแบ่ง ของกําไรดังกล่าวทั้งจํานวนมารวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตาม หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร
(1) บริษัทจํากัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งถือหุ้นในบริษัทจํากัดผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทจํากัดผู้จ่ายเงินปันผลและบริษัทจํากัดผู้จ่ายเงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทจํากัดผู้รับเงินปันผลไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
(2) บริษัทจดทะเบียน ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง ได้รับเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนตาม กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกําไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้ได้รับเงินปันผลได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินปันผลดังกล่าวทั้งจํานวนมารวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง ได้รับเงินส่วนแบ่งกําไรจากกิจการร่วมค้า ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งกําไรได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินส่วนแบ่งกําไรดังกล่าวทั้งจํานวนมารวมคํานวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๐ กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผล ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจ่ายจากเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกําไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามข้อ 6 ผู้ได้รับเงินปันผลไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผล ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจ่ายจากเงินส่วนแบ่งของกําไรที่ได้รับจากกองทุนรวมที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ตามข้อ 7ผู้ได้รับเงินปันผลไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๑ กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผล ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และเป็นเงินปันผลที่เข้าลักษณะตามข้อ 8 และข้อ 9 ผู้ได้รับเงินปันผลได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจ่ายเงินปันผลซึ่งเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกําไรเฉพาะส่วนที่เกิดขึ้นตามข้อ 10 ผู้จ่ายเงินปันผลจะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายว่า ไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจ่ายเงินปันผลซึ่งเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกําไรทั้งในส่วนที่เกิดขึ้นตามข้อ 10 และกําไรจากการประกอบกิจการตามข้อ 11 ผู้จ่ายเงินปันผลจะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายใ
ข้อ ๑๓ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้หลายอัตรา เมื่อจ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไรให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา และผู้จ่ายเงินได้ทราบโดยชัดแจ้งว่าจ่ายจากเงินกําไรหลังจากเสียภาษีในอัตราใด ผู้จ่ายเงินได้จะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินปันผลหรือ เงินส่วนแบ่งของกําไรที่จ่ายนั้นจํานวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง จ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไรให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา และผู้จ่ายเงินได้ไม่สามารถทราบโดยชัดแจ้งว่าจ่ายจากเงินกําไรหลังจากเสียภาษีในอัตราใด ผู้จ่ายเงินได้ต้องเฉลี่ยเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไรตามส่วนของกําไรหลังจากเสียภาษีในแต่ละอัตราภาษี และจะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไรที่จ่ายนั้นจํานวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด
ข้อ ๑๔ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผลแสดงข้อความที่กําหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามข้อ 12 และข้อ 13 ถูกต้อง และผู้มีเงินได้มิได้นําไปใช้เครดิตภาษี หรือนําไปใช้เครดิตภาษีถูกต้องตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินได้และผู้มีเงินได้ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๕ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผลแสดงข้อความที่กําหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามข้อ 12 และข้อ 13 ถูกต้อง และผู้มีเงินได้นําไปใช้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แต่ใช้เครดิตภาษีไม่ถูกต้อง โดยเครดิตภาษีที่คํานวณได้มีจํานวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ อันเป็นเหตุให้ผู้มีเงินได้ได้ รับเงินภาษีคืนเกินไปหรือชําระภาษีไว้ไม่ครบถ้วน ผู้จ่ายเงินได้ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร สําหรับผู้มีเงินได้ต้องรับผิดตามจํานวนเงินภาษีที่ได้รับคืนเกินไปหรือเงินภาษีที่ชําระไว้ไม่ครบถ้วน ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินมีอํานาจเรียกคืนเงินจํานวนดังกล่าวหรือประเมินเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากผู้มีเงินได้ แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๖ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผลแสดงข้อความที่กําหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามข้อ 12 และข้อ 13 ไม่ถูกต้อง และผู้มีเงินได้มิได้นําไปใช้เครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินได้และ ผู้มีเงินได้ ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๗ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผลแสดงข้อความที่กําหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามข้อ 12 และข้อ 13 ไม่ถูกต้อง และผู้มีเงินได้นําไปใช้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยเครดิตภาษีที่คํานวณได้มีจํานวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้มีเงินได้จะได้รับเงินภาษีคืนเกินไป หากผู้มีเงินได้ยังไม่ได้รับเงินภาษีคืน หรือได้รับเงินภาษีคืนแต่ยังไม่เกินกว่าจํานวนที่พึงได้รับ ผู้จ่ายเงินได้และผู้มีเงินได้ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๘ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผลแสดงข้อความที่กําหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามข้อ 12 และข้อ 13 ไม่ถูกต้อง และผู้มีเงินได้นําไปใช้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยเครดิตภาษีที่คํานวณได้มีจํานวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ อันเป็นเหตุให้ผู้มีเงินได้ได้รับเงินภาษีคืนเกินไปหรือชําระภาษีไว้ไม่ครบถ้วน ผู้จ่ายเงินได้ต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ตามจํานวนเงินภาษีที่ได้รับคืนเกิน ไปหรือเงินภาษีที่ชําระไว้ไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่ง เจ้าพนักงานประเมินมีอํานาจเรียกคืนเงินจํานวนดังกล่าวหรือประเมินเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจาก ผู้จ่ายเงินได้ก่อน แต่ถ้าเรียกคืนเงินภาษีหรือเรียกเก็บภาษีจากผู้จ่ายเงินได้ไม่ได้หรือไม่ครบจํานวนที่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินก็มีอํานาจเรียกคืนเงินภาษีหรือเรียกเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้ ตามมาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีผู้มีเงินได้ได้รับเงินปันผลจากผู้จ่ายเงินได้หลายราย และผู้จ่ายเงินได้บางรายแสดงข้อความที่กําหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามข้อ 12 และข้อ 13 ไม่ถูกต้อง หากผู้มีเงินได้นําไปใช้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยเครดิตภาษีที่คํานวณได้มีจํานวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ อันเป็นเหตุให้ผู้มีเงินได้ได้รับเงินภาษีคืนเกินไปหรือชําระภาษีไว้ไม่ครบถ้วน ผู้จ่ายเงินได้ซึ่งแสดงข้อความที่กําหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ถูกต้อง ต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ตามจํานวนเงินภาษีที่ได้รับคืนเกินไปหรือเงินภาษีที่ชําระไว้ไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๙ กรณีบุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกําไรจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งเป็นเงินปันผลที่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ตามข้อ 11 ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้ โดยไม่ต้องนําไปรวมคํานวณกับเงินได้อื่นก็ได้ ในกรณีเลือกนําไปรวมคํานวณกับ เงินได้อื่น ผู้มีเงินได้จะได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และในกรณีที่ได้รับเงินปันผลที่ได้รับเครดิตภาษีจากผู้จ่ายหลายราย ผู้มีเงินได้จะต้องนําเงินได้ดังกล่าวที่ได้รับในปีภาษีทุกรายมารวมคํานวณภาษี ไม่สามารถเลือกเฉพาะบางรายนํามารวมคํานวณภาษีเพื่อได้รับเครดิตภาษี
ข้อ ๒๐ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หรือคําวินิจฉัยใด ที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545
วิชัย จึงรักเกียรติ
(นายวิชัย จึงรักเกียรติ)
รองอธิบดี รักษาราชการแทน
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,881 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ/ข/ด/น. 61/2552 เรื่อง การทำธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่มีข้อจำกัดการโอนโดยบริษัทหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ/ข/ด/น. 61/2552
เรื่อง การทําธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่มีข้อจํากัดการโอน
โดยบริษัทหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 114 มาตรา 115 มาตรา 116 และมาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 133 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน การจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ การจัดการกองทุนรวม หรือการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
(2) “หลักทรัพย์ที่มีข้อจํากัดการโอน” หมายความว่า หลักทรัพย์ที่บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ดังกล่าวได้จดข้อจํากัดการโอนหลักทรัพย์นั้นไว้ต่อสํานักงาน
(3) “ทําธุรกรรม” ให้หมายความรวมถึง ซื้อ รับโอน ขาย หรือโอน
ข้อ ๒ บริษัทหลักทรัพย์จะทําธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่มีข้อจํากัดการโอนได้ต่อเมื่อการทําธุรกรรมนั้นจะไม่ก่อให้เกิดผลที่ขัดหรือแย้งกับข้อจํากัดการโอนหลักทรัพย์นั้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกระทําเพื่อตนเองหรือเพื่อบุคคลอื่น
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 52/2545 เรื่อง การทําธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่มีข้อจํากัดการโอนโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 52/2545 เรื่อง การทําธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่มีข้อจํากัดการโอนโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน การจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ การจัดการกองทุนรวม และการจัดการกองทุนส่วนบุคคล เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อรองรับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 52/2545 เรื่อง การทําธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่มีข้อจํากัดการโอนโดยบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,882 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ/ข/ด/น. 62/2552 เรื่อง การกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ/ข/ด/น. 62/2552
เรื่อง การกําหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการเกี่ยวกับ
ข้อร้องเรียนของลูกค้า
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 114 มาตรา 115 มาตรา 116 และมาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 133 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน การจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ การจัดการกองทุนรวม หรือการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
“ตัวแทน” หมายความว่า บุคคลซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ตั้งให้เป็นตัวแทนตามมาตรา 100โดยได้รับอนุญาตจากสํานักงาน
ข้อ ๒ ให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้าดังต่อไปนี้
(1) จัดให้มีระบบการรับข้อร้องเรียนของลูกค้าในส่วนที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่เกิดจากการกระทําของบริษัท พนักงาน หรือตัวแทนของบริษัทหลักทรัพย์
(2) รับข้อร้องเรียนตาม (1) จากลูกค้า และรับข้อร้องเรียนของลูกค้าที่มาจากตัวแทนซึ่งยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้เป็นที่พอใจของลูกค้าได้
(3) บันทึกการร้องเรียนตาม (1) จากลูกค้าที่กระทําด้วยวาจาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และให้ลูกค้าลงนามเพื่อรับรองความถูกต้องไว้ก่อนที่บริษัทหลักทรัพย์จะดําเนินการแก้ไขปัญหา
(4) ดําเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนตามข้อ 3 และข้อ 4
(5) จัดเก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อร้องเรียน และการดําเนินการดังกล่าว
ไว้ไม่น้อยกว่าสองปีนับแต่วันที่มีข้อยุติเกี่ยวกับข้อร้องเรียนนั้น
ข้อ ๓ ให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการต่อข้อร้องเรียนของลูกค้าดังต่อไปนี้
(1) ดําเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนโดยเร็ว และในกรณีที่เป็นข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนที่บริษัทหลักทรัพย์รับจากลูกค้าไว้ ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดส่งข้อร้องเรียน
ดังกล่าวให้ตัวแทนเพื่อดําเนินการแก้ไขก่อน
(2) สรุปจํานวนข้อร้องเรียนที่สามารถแก้ไขปัญหาได้และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยแยกหมวดหมู่ของข้อร้องเรียนและแจ้งให้สํานักงานทราบเป็นรายไตรมาสภายในสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นไตรมาสนั้น
(3) เมื่อมีข้อยุติเกี่ยวกับข้อร้องเรียน ให้บริษัทหลักทรัพย์แจ้งผลการแก้ไขปัญหาของข้อร้องเรียนดังกล่าวให้ลูกค้าภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีข้อยุตินั้น
ข้อ ๔ เมื่อปรากฏว่าลูกค้าร้องเรียนต่อสํานักงาน และสํานักงานได้จัดส่งข้อร้องเรียนให้บริษัทหลักทรัพย์แล้ว ให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนโดยเร็ว และรายงานผลการดําเนินการให้สํานักงานทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับข้อร้องเรียนนั้น และหากบริษัทหลักทรัพย์ยังดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนดังกล่าวไม่แล้วเสร็จ ให้รายงานความคืบหน้าของการดําเนินการทุกระยะเวลาสามสิบวันจนกว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จ เว้นแต่สํานักงานจะกําหนดเป็นอย่างอื่น
ข้อ ๕ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ./น. 8/2545 เรื่อง การกําหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๖ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ./น. 8/2545 เรื่อง การกําหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
| | |
| --- | --- |
| | (นายวิจิตร สุพินิจ) |
| | ประธานกรรมการคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ |
หมายเหตุ -
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน การจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ การจัดการกองทุนรวม และการจัดการกองทุนส่วนบุคคล เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อรองรับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ./น. 8/2545 เรื่อง การกําหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ดําเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,883 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 118/2545 เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายรางวัล ส่วนลดหรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 118/2545
เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายรางวัล ส่วนลดหรือประโยชน์ใด ๆ
เนื่องจากการส่งเสริมการขาย
-------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนําเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย ตามข้อ 12/2 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้ พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่าย เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2544 และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ได้ขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อซึ่งได้ซื้อสินค้าไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนําไปขายต่อ หรือตามพฤติการณ์ผู้ซื้อได้ซื้อสินค้าไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนําไปขายต่อ เช่น ผู้ซื้อสินค้าเป็นผู้ประกอบการขายปลีกหรือขายส่งสินค้าหรือผู้แทนจําหน่าย เมื่อผู้ขายสินค้าดังกล่าวจ่ายรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใดๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย ซึ่งอาจเป็นสัญญาระยะยาว ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย รางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย ตามวรรคหนึ่ง หมายถึง เงินอุดหนุน เงินสนับสนุน เงินช่วยเหลือ เงินส่วนลด หรือเงินอื่นใดในลักษณะทํานองเดียวกันที่ผู้ขายสินค้าซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือผู้จัดจําหน่ายได้จ่ายให้แก่ผู้ซื้อสินค้าซึ่งเป็นผู้แทนจําหน่ายที่ซื้อสินค้าโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนําไปขายต่อ ทั้งนี้ ไม่ว่าเงินดังกล่าวจะคํานวณจากฐานการซื้อขายหรือคํานวณจากฐานอื่นใด เพื่อให้มีผลต่อการขาย การลดต้นทุน หรือลดรายจ่าย ของผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้แทนจําหน่าย
ตัวอย่าง
(1) บริษัท ก จํากัด และบริษัทผู้แทนจําหน่าย มีข้อตกลงว่า เพื่อเป็นการ ส่งเสริมการขายสินค้า บริษัท ก จํากัด จะใช้คูปองติดกับตัวสินค้าเป็นส่วนลดเงินสด เมื่อลูกค้านําสินค้าพร้อมคูปองมาชําระเงิน บริษัทผู้แทนจําหน่ายจะให้ส่วนลดเงินสดตามราคาคูปองนั้น และบริษัทผู้แทนจําหน่ายจะได้รับเงินชดเชยส่วนลดเงินสดตามคูปองนั้นคืนจากบริษัท ก จํากัด เงิน ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ก จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(2) บริษัท ข จํากัด ประกอบกิจการขายสินค้าอุปโภคบริโภค บริษัท ข จํากัด ได้ขายสินค้าให้แก่ร้านค้าสะดวกซื้อซึ่งประกอบกิจการค้าปลีก มีข้อตกลงว่าร้านค้าฯ ไม่สามารถนําสินค้าจากแหล่งอื่นมาขาย จะต้องขายสินค้าของบริษัท ข จํากัด เท่านั้น โดยบริษัท ข จํากัด ต้องจ่ายค่าสิทธิประโยชน์ในการจําหน่ายสินค้าและจ่ายค่าธรรมเนียมสินค้าแรกเข้า (Entrance fee) ให้แก่ร้านค้าฯ เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ข จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(3) บริษัท ค จํากัด และบริษัทผู้แทนจําหน่าย มีข้อตกลงว่า เพื่อเป็น หลักประกันการชําระหนี้ค่าสินค้าที่บริษัทผู้แทนจําหน่ายซื้อจากบริษัท ค จํากัด บริษัท ค จํากัด ได้กําหนดให้บริษัทผู้แทนจําหน่ายซึ่งชําระหนี้ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินนําตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวให้ธนาคารรับรองตั๋ว เมื่อบริษัทผู้แทนจําหน่ายชําระค่าธรรมเนียมให้แก่ธนาคารแล้ว บริษัท ค จํากัด จะจ่ายเงินช่วยเหลือค่าธรรมเนียมการรับรองตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งหมดให้แก่บริษัทผู้แทนจําหน่ายในภายหลัง เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ค จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(4) บริษัท ง จํากัด และบริษัทผู้แทนจําหน่าย มีข้อตกลงว่า บริษัท ง จํากัด มีนโยบายยกเลิกคลังสินค้าทั่วประเทศและใช้สํานักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางในการติดต่อกับบริษัทผู้แทนจําหน่าย เป็นผลทําให้บริษัทผู้แทนจําหน่ายจะต้องจ่ายค่าโทรศัพท์เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทผู้แทนจําหน่ายทั่วประเทศซึ่งต้องการติดต่อกับบริษัท ง จํากัด จะต้องโทรศัพท์ถึงสํานักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร บริษัท ง จํากัด จึงจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างค่าโทรศัพท์ในส่วนที่เกินจากค่าโทรศัพท์ในเขตพื้นที่เดียวกันให้แก่บริษัทผู้แทนจําหน่าย เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ง จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(5) บริษัท จ จํากัด ประกอบกิจการขายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยส่งสินค้า ถึงบริษัทผู้แทนจําหน่าย ต่อมามีข้อตกลงกับบริษัทผู้แทนจําหน่ายว่า หากบริษัทผู้แทนจําหน่ายซื้อสินค้าจากบริษัท จ จํากัด โดยขนสินค้าเอง บริษัท จ จํากัด จะจ่ายเงินช่วยเหลือค่าขนส่งให้แก่บริษัทผู้แทนจําหน่าย หรือจะลดราคาสินค้าให้แก่บริษัทผู้แทนจําหน่าย เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท จ จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(6) บริษัท ฉ จํากัด ประกอบกิจการขายกระเบื้องและเครื่องสุขภัณฑ์ มี ข้อตกลงกับบริษัทผู้แทนจําหน่ายว่า กรณีบริษัทผู้แทนจําหน่ายนําสินค้าที่ซื้อจากบริษัท ฉ จํากัด ไปจัดแสดงหรือติดตั้งให้เห็นสภาพการใช้งานจริง เช่น ปูกระเบื้องและติดตั้งเครื่องสุขภัณฑ์เพื่อจัดแสดงเป็นห้องน้ํา กรณีดังกล่าว เมื่อบริษัทผู้แทนจําหน่ายจ่ายค่าก่อสร้างให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างไปแล้ว บริษัท ฉ จํากัด จะจ่ายเงินช่วยเหลือค่าก่อสร้างให้แก่บริษัทผู้แทนจําหน่าย เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ฉ จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(7) บริษัท ช จํากัด ประกอบกิจการขายสินค้า ได้มีการจัดสัมมนาให้แก่ บริษัทผู้แทนจําหน่ายเพื่อแนะนําสินค้าใหม่หรือเพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในสินค้าที่บริษัทผู้แทนจําหน่ายซื้อจากบริษัท ช จํากัด ไปจําหน่าย และบางกรณีก็ได้จัดสัมมนาให้ความรู้ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งทั้งสองกรณีบริษัท ช จํากัด มิได้เรียกเก็บค่าสัมมนาจากบริษัทผู้แทนจําหน่าย และได้จ่ายเงินช่วยเหลือค่าเดินทางและค่าที่พักให้แก่บริษัทผู้แทนจําหน่ายด้วย เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ช จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(8) บริษัท ซ จํากัด ประกอบกิจการขายยางรถยนต์ มีข้อตกลงกับบริษัท ผู้แทนจําหน่ายว่า กรณีบริษัทผู้แทนจําหน่ายซื้อยางรถยนต์จากบริษัท ซ จํากัด ไปเพื่อขายได้ตามเป้าที่กําหนด บริษัท ซ จํากัด จะจ่ายส่วนลดภายหลัง (Rebate) โดยจะจ่ายในลักษณะเป็นใบลดหนี้ (Credit Note) เพื่อให้บริษัทผู้แทนจําหน่ายนํามาชําระหนี้ค่าซื้อยางรถยนต์ในคราวต่อไป เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ซ จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(9) บริษัท ฌ จํากัด เป็นผู้นําเข้ายาจากต่างประเทศ มีข้อตกลงกับบริษัท ผู้แทนจําหน่ายว่า บริษัท ฌ จํากัด จะให้ส่วนลดแก่บริษัทผู้แทนจําหน่ายในอัตราร้อยละ 35 ของราคาสินค้าที่บริษัทผู้แทนจําหน่ายซื้อจากบริษัท ฌ จํากัด โดยให้บริษัทผู้แทนจําหน่ายรวบรวมยอดส่วนลดในแต่ละเดือนแล้วจัดส่งใบแจ้งหนี้เรียกเก็บเงินไปยังบริษัท ฌ จํากัด เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ฌ จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(10) บริษัท ญ จํากัด ประกอบกิจการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีข้อตกลงกับ บริษัทผู้แทนจําหน่ายว่า กรณีบริษัทผู้แทนจําหน่ายสามารถขายสินค้ารุ่นเก่าออกจากสต็อกได้ บริษัท ญ จํากัด จะจ่ายเป็นค่าอุดหนุน (Subsidize) มูลค่า 500 บาท ต่อ 1 เครื่อง เงินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ญ จํากัด จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นตามข้อ 1 จ่ายรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย โดยจ่ายในลักษณะเป็นสิ่งของ ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในวันที่ที่มีการส่งมอบสิ่งของ โดยคํานวณมูลค่าของสิ่งของตามราคาหรือค่าอันพึงมีในวันที่ส่งมอบของนั้น ตามมาตรา 9 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๓ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นตามข้อ 1 จ่ายรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย โดยจ่ายในลักษณะเป็นใบลดหนี้ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามวันที่ที่ออกใบลดหนี้นั้น
ข้อ ๔ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นตามข้อ 1 ได้ขาย สินค้าให้แก่ผู้ซื้อซึ่งซื้อสินค้าโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนําไปขายต่อ โดยมีการแถมสินค้าไปพร้อมกับสินค้าที่ขายซึ่งมูลค่าของสินค้าที่แถมไม่เกินมูลค่าของสินค้าที่ขาย ไม่ว่าสินค้าที่แถมนั้นจะเป็นสินค้าประเภท และชนิดเดียวกับสินค้าที่ขายหรือไม่ ผู้ขายสินค้าไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสําหรับมูลค่าของสินค้าที่แถม
ข้อ ๕ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นตามข้อ 1 ได้ขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อซึ่งซื้อสินค้าโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนําไปขายต่อ โดยมีข้อตกลงให้ส่วนลดหรือค่าลดหย่อนภายหลังจากที่ขายสินค้าไปแล้วซึ่งเป็นส่วนลดเงินสด หากการให้ส่วนลดดังกล่าวเป็นการให้ส่วนลดที่เป็นปกติตามประเพณีทางการค้า และได้มีการระบุเงื่อนไขส่วนลดเงินสดไว้ในใบส่งของ ใบแจ้งหนี้ หรือใบกํากับภาษีให้ชัดเจน ส่วนลดดังกล่าว ไม่เข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย ผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ตัวอย่าง บริษัท ก จํากัด ประกอบกิจการขายเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมติดตั้ง มูลค่า 350,000 บาท มีเงื่อนไขการชําระราคาค่าสินค้าว่า ถ้าชําระภายใน 2 เดือน จะลดให้ 2,000 บาท หากบริษัท ก จํากัด ได้ระบุเงื่อนไขส่วนลดไว้ในใบส่งของ ใบแจ้งหนี้ หรือใบกํากับภาษีให้ชัดเจน บริษัท ก จํากัด ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๖ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นตามข้อ 1 ได้ขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อดังต่อไปนี้ เมื่อผู้ขายสินค้าดังกล่าวจ่ายรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใดๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย ผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(1) กรณีการขายสินค้าที่ผู้ขายทราบโดยชัดแจ้งว่าเป็นการขายให้แก่ผู้ซื้อสินค้าซึ่งเป็นผู้บริโภคโดยตรง และได้ขายในปริมาณซึ่งตามปกติวิสัยของผู้บริโภคนั้นจะนําสินค้าไปบริโภคหรือใช้สอย โดยมิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนําไปขายต่อ เช่น ผู้ซื้อได้ซื้อสินค้าเพียงเล็กน้อย เป็นต้น
(2) กรณีการขายสินค้าที่ผู้ขายทราบโดยชัดแจ้งว่าเป็นการขายให้แก่ผู้ซื้อสินค้าซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่นําสินค้าไปใช้ในการประกอบกิจการของตนเองโดยตรง โดยมิได้มี วัตถุประสงค์ที่จะนําไปขายต่อ เช่น การขายอาหารสัตว์ให้แก่ผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
ความในวรรคหนึ่ง ไม่ใช้บังคับกับกรณีผู้ซื้อสินค้าเป็นผู้แทนจําหน่ายของผู้ขายซึ่งซื้อสินค้าเพื่อนําไปใช้ในการประกอบกิจการของตนเองโดยตรง
ตัวอย่าง บริษัท ฎ จํากัด ขายสินค้าให้แก่บริษัทผู้แทนจําหน่ายซึ่งโดยปกติบริษัทผู้แทนจําหน่ายซื้อสินค้าโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนําไปขายต่อ แต่ในบางกรณีบริษัทผู้แทนจําหน่ายต้องการซื้อสินค้าของบริษัท ฎ จํากัด เพื่อนําไปใช้ในการประกอบกิจการของบริษัทผู้แทนจําหน่าย กรณีดังกล่าว เมื่อบริษัท ฎ จํากัด จ่ายเงินรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย บริษัท ฎ จํากัด มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๗ ให้นําความในข้อ 1 ถึงข้อ 6 มาใช้บังคับสําหรับการจ่ายรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นได้ให้บริการแก่ผู้รับบริการซึ่งผู้ให้บริการทราบโดยชัดแจ้งว่าผู้รับบริการนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บริการต่อ หรือตามพฤติการณ์ผู้รับบริการมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บริการต่อแน่นอน
ข้อ ๘ รางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขายตามข้อ 1 ไม่เข้าลักษณะเป็นค่าตอบแทนจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ ตามมาตรา 77/1(8) และมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้รับจึงไม่ต้องนําเงินรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขายดังกล่าวไปรวมคํานวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545
วิชัย จึงรักเกียรติ
(นายวิชัย จึงรักเกียรติ)
รองอธิบดี รักษาราชการแทน
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,884 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 45/2546 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กธ. 45/2546
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้า
ซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 113 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ปฏิบัติตามข้อกําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการค้าหลักทรัพย์ ที่มิใช่ตราสารแห่งหนี้ รวมทั้งประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าว โดยอนุโลม
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2546
ร้อยเอก
(สุชาติ เชาว์วิศิษฐ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,885 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทด. 64/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทด. 64/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้า
ซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ปฏิบัติตามข้อกําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการค้าหลักทรัพย์ ที่มิใช่ตราสารแห่งหนี้หรือหน่วยลงทุน รวมทั้งประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนดังกล่าว โดยอนุโลม
ข้อ ๒ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 45/2546 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการ
เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้ ลงวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ให้การอ้างอิง
ดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุนจึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 45/2546 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้ ลงวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2546 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,886 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 117/2545 เรื่อง การนับระยะเวลาเพื่อคำนวณเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 27 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 มาตรา 89/1 และมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีกำหนดเวลาในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี แบบแสดงรายการหักภาษีและนำเงินภาษีส่ง หรือแบบนำส่งภาษี วันสุดท้ายตรงกับวันหยุดทำการของทางราชการ
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 117/2545
เรื่อง การนับระยะเวลาเพื่อคํานวณเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 27 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 มาตรา 89/1 และมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีกําหนดเวลาในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี แบบแสดงรายการหักภาษีและนําเงินภาษีส่ง หรือแบบนําส่งภาษี วันสุดท้ายตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ
--------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําผู้เสียภาษีอากร ในการนับระยะเวลาเพื่อคํานวณเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 27 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 มาตรา 89/1 และมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีกําหนดเวลาในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี แบบแสดงรายการหักภาษีและนําเงินภาษีส่งหรือแบบนําส่งภาษี วันสุดท้ายตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ รวมทั้งกรณีอื่น ๆ ที่วันสุดท้ายแห่งกําหนดเวลาตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการด้วย กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีกําหนดเวลาในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี แบบแสดงรายการหักภาษีและนําเงินภาษีส่งหรือแบบนําส่งภาษี วันสุดท้ายตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ ให้นับวันที่เริ่มทําการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทําการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ตามมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแต่อย่างใด
ข้อ ๒ กรณีได้รับอนุมัติให้ขยายกําหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร
(1) กรณีขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร โดยได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร ตามมาตรา 3 อัฏฐ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไปดังกล่าวตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ ให้นับวันที่เริ่ม ทําการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทําการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ตามมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ แต่ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 0.75 ต่อเดือนหรือเศษ ของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชําระหรือนําส่ง โดยให้เริ่มนับเมื่อพ้นกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือแบบแสดงรายการหักภาษีและนําเงินภาษีส่ง หรือแบบนําส่งภาษีจนถึงวันชําระภาษีหรือนําส่งภาษี ตามมาตรา 27 หรือมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีขยายกําหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร โดยได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี ตามมาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร และวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไปดังกล่าวตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ ให้นับวันที่เริ่มทําการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทําการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ตามมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแต่อย่างใด
ข้อ ๓ กรณีผู้ต้องเสียภาษีใช้สิทธิชําระภาษีเป็นรายงวด หากวันสุดท้ายแห่งกําหนดเวลา ซึ่งต้องชําระภาษีในแต่ละงวดตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ
(1) กรณีผ่อนชําระภาษีตามมาตรา 64(1) แห่งประมวลรัษฎากร หากวัน สุดท้ายที่ต้องผ่อนชําระงวดที่สองหรืองวดที่สามตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ ให้นับวันที่เริ่ม ทําการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทําการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ตามมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ตัวอย่าง นาย ก. ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91) ปี พ.ศ.2542 มีภาษีที่ต้องชําระ 6,000 บาท และได้ใช้สิทธิตามมาตรา 64(1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยงวดที่หนึ่งได้ชําระภาษีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีฯ จํานวน 2,000 บาท เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2543 งวดที่สองต้องชําระจํานวน 2,000 บาท ภายในเดือนเมษายน 2543 และงวด ที่สามต้องชําระ จํานวน 2,000 บาท ภายในเดือนพฤษภาคม 2543 แต่ปรากฏว่าวันที่ 30 เมษายน 2543 ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดทําการ นาย ก. มีสิทธินําเงินงวดที่สองไปชําระ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2543 โดยไม่หมดสิทธิที่จะชําระเป็นรายงวดต่อไป และไม่ต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด
(2) กรณีผ่อนชําระภาษีตามมาตรา 64(2) แห่งประมวลรัษฎากร หากวันสุดท้าย ที่ต้องผ่อนชําระงวดที่สองหรืองวดที่สามตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ ให้นับวันที่เริ่มทําการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทําการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ตามมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ตัวอย่างนาย ข. ได้ถูกประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นจํานวนเงินมากกว่า 3,000 บาท ได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2543 นาย ข. ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 64(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยงวดที่หนึ่งได้ชําระ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2543 งวดที่สองจะต้องชําระภายในเดือนเมษายน 2543 และงวดที่สามจะ ต้องชําระภายในเดือนพฤษภาคม 2543 แต่ปรากฏว่าวันที่ 30 เมษายน 2543 ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดทําการ นาย ข. มีสิทธินําเงินงวดที่สองไปชําระในวันที่ 1 พฤษภาคม 2543 โดยไม่หมดสิทธิที่จะชําระเป็นรายงวดต่อไป และไม่ต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร เพิ่มเติม แต่อย่างใด
(3) กรณีได้รับอนุมัติให้ผ่อนชําระภาษีเป็นรายงวด ตามระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการผ่อนชําระภาษีอากร หากวันสุดท้ายที่ต้องผ่อนชําระของงวดใดงวดหนึ่งตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ ให้นับวันที่เริ่มทําการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทําการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลาตามมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ตัวอย่างบริษัท ค. จํากัด ได้ถูกประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ตามหนังสือแจ้งการประเมิน เป็นเงินจํานวน 120,000 บาท บริษัท ค. จํากัด ได้รับอนุมัติให้ผ่อนชําระภาษีตามระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการผ่อนชําระภาษีอากร เป็นงวดรายเดือน รวม 6 งวด แต่ละงวดต้องชําระภายในวันที่ 7 ของทุกเดือน งวดที่หนึ่งได้ชําระเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2543 งวด ที่สองชําระเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 งวดที่สามชําระเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2543 แต่ปรากฏว่างวดที่ 4 วันที่ 7 ตุลาคม 2543 ตรงกับวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดทําการ บริษัท ค. จํากัด มีสิทธินําเงินงวดที่ 4 ไปชําระในวันที่ 9 ตุลาคม 2543 ได้ โดยไม่หมดสิทธิที่จะชําระเป็นรายงวดต่อไป และไม่ต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร เพิ่มเติม แต่อย่างใด
ข้อ ๔ กรณีบุคคลผู้ต้องเสียเบี้ยปรับขอลดเบี้ยปรับตามคําสั่งกรมสรรพากรเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 89 และมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร การนับระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะที่จะได้รับสิทธิลดเบี้ยปรับ หากวันสุดท้ายแห่งกําหนดเวลาตรงกับวันหยุดทําการของทางราชการ ให้นับวันที่เริ่มทําการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทําการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ตามมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนเงินเพิ่มให้คํานวณในอัตรา ร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชําระหรือนําส่ง โดยให้เริ่มนับเมื่อพ้นกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือแบบนําส่งภาษีจนถึงวันชําระภาษีหรือนําส่งภาษี ตามมาตรา 89/1 หรือมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่าง
(1) บริษัท ง. จํากัด ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และชําระภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับเดือนกรกฎาคม 2539 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2539 ขอลดเบี้ยปรับตามมาตรา 89(2) แห่งประมวลรัษฎากร ตามข้อ 2 (1) (ข) ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.37/2534 เรื่อง ระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 89 และภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ชําระภายหลัง 15 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน นับแต่วัน พ้นกําหนดเวลาชําระภาษีมูลค่าเพิ่มให้เสียร้อยละ 5 ของเบี้ยปรับได้ (ปัจจุบันเป็นข้อ 5 (1) (ข) ของคําสั่ง กรมสรรพากร ที่ ท.ป.81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษี มูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 และมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2542) เนื่องจากกรณีนี้วันที่ 14 และวันที่ 15 กันยายน 2539 ตรงกับวันเสาร์และวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดทําการของทางราชการ ส่วนเงินเพิ่มตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร ให้คํานวณร้อยละ 1.5 ต่อเดือน เป็นเวลา 1 เดือน
(2) บริษัท จ. จํากัด ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และชําระภาษีมูลค่าเพิ่ม สําหรับเดือนกรกฎาคม 2543 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2543 ต่อมาได้ยื่นแบบแสดง รายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ของเดือนกรกฎาคม 2543 เพิ่มเติม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2543 กรณีนี้การนับระยะเวลาเพื่อคํานวณเบี้ยปรับสําหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติม ตามข้อ 5 (1) (ค) ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 และมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 จะต้องนับตั้งแต่วันพ้นกําหนดเวลาชําระภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ วันที่ 16 สิงหาคม 2543 จนถึงวันที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติม คือวันที่ 16 ตุลาคม 2543 ซึ่งนับได้เป็นเวลา 62 วัน แต่เนื่องจากวันที่ 14 และวันที่ 15 ตุลาคม 2543 ตรงกับ วันเสาร์และวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดทําการของทางราชการ กรณีนี้จึงถือว่าบริษัทฯ ชําระภาษีภายหลัง 30 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลาชําระภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เสียร้อยละ 10 ของเบี้ยปรับ ส่วนเงินเพิ่มตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร ให้คํานวณร้อยละ 1.5 ต่อเดือน เป็นเวลา 2 เดือน
ข้อ ๕ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หนังสือตอบข้อหารือหรือแนวทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ ให้เป็นอันยกเลิก
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,887 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 65/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการกระทำการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 65/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการกระทําการเป็นนายหน้าซื้อขาย
หลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในการกระทําการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้บริษัทหลักทรัพย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) เมื่อมีบุคคลใดมอบหมายให้ขายหลักทรัพย์โดยที่บริษัทหลักทรัพย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง บริษัทหลักทรัพย์ต้องให้บุคคลนั้นนําหลักทรัพย์หรือใบตอบรับการโอนหลักทรัพย์ที่นายทะเบียนเป็นผู้ออกหรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์มามอบไว้ให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ และให้บริษัทหลักทรัพย์บันทึกบัญชีการขายหลักทรัพย์นั้นให้ครบถ้วนและตรงต่อความเป็นจริงไม่ช้ากว่าวันทําการถัดจากวันที่ได้ขายหลักทรัพย์นั้น
บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการส่งมอบเงินค่าขายหลักทรัพย์ให้แก่บุคคลผู้มอบหมายให้ขายหลักทรัพย์ในวันทําการที่สามนับแต่วันที่ขายหลักทรัพย์นั้น
(2) เมื่อมีบุคคลใดมอบหมายให้ซื้อหลักทรัพย์ใด บริษัทหลักทรัพย์ต้องให้บุคคลนั้นทําสัญญายินยอมว่าในกรณีที่บุคคลดังกล่าวไม่ชําระราคาหลักทรัพย์ภายในกําหนดเวลาตามวรรคสอง ให้บริษัทหลักทรัพย์ขายหลักทรัพย์นั้นได้ทันทีและยินยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายหลักทรัพย์นั้น และให้บริษัทหลักทรัพย์บันทึกบัญชีการซื้อหลักทรัพย์นั้นให้ครบถ้วนและตรงต่อความเป็นจริง พร้อมทั้งแจ้งให้บุคคลดังกล่าวทราบถึงจํานวนและราคาของหลักทรัพย์ที่ซื้อได้ไม่ช้ากว่าวันทําการถัดจากวันที่ได้ซื้อหลักทรัพย์นั้น
บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการให้บุคคลผู้มอบหมายให้ซื้อหลักทรัพย์ชําระราคาทันทีหรืออย่างช้าไม่เกินสามวันทําการนับแต่วันที่ซื้อหลักทรัพย์ เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการซื้อหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ลงทุนที่มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งต้องส่งเงินเข้ามาในประเทศไทยเพื่อชําระราคาหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการให้บุคคลดังกล่าวชําระราคาภายในสี่วันทําการนับแต่วันที่ซื้อหลักทรัพย์ หากบุคคลนั้นไม่สามารถชําระราคาหลักทรัพย์ได้ บริษัทหลักทรัพย์ต้องดําเนินการขายหลักทรัพย์นั้นไม่ช้ากว่าวันทําการถัดจากวันที่ครบกําหนดเวลาดังกล่าว
บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับมอบหมายให้ซื้อหลักทรัพย์ต้องดําเนินการส่งมอบหลักทรัพย์ให้บุคคลผู้มอบหมายให้ซื้อหลักทรัพย์ภายในสี่วันทําการนับแต่วันที่ซื้อหลักทรัพย์ โดยให้รวมถึงการส่งมอบหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ลงทุนที่มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศตามวรรคสองด้วย ทั้งนี้ เว้นแต่ในกรณีที่มีการนําหลักทรัพย์ไปลงทะเบียนโอนหลักทรัพย์หรือแยกหลักทรัพย์กับผู้ออกหลักทรัพย์และยังไม่ได้รับหลักทรัพย์นั้นจากผู้ออกหลักทรัพย์
ในกรณีผู้ที่มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหลักทรัพย์มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์ขายหลักทรัพย์ที่ซื้อนั้นโดยที่ยังมิได้ชําระราคาค่าซื้อหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ต้องให้บุคคลดังกล่าวชําระราคาค่าซื้อหลักทรัพย์ก่อนจึงจะชําระเงินค่าขายหลักทรัพย์นั้นให้บุคคลดังกล่าว จะใช้การหักกลบราคาซื้อและราคาขายมิได้ บริษัทหลักทรัพย์ต้องชําระเงินค่าขายหลักทรัพย์โดยจ่ายเช็คขีดคร่อมระบุข้อความเข้าบัญชีผู้รับเงินเท่านั้นให้แก่ผู้ขาย
ข้อ ๒ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกระทําการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๓ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกระทําการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑและวิธีการกระทําการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,888 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 66/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 66/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับ
การซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในการกระทําการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้บริษัทหลักทรัพย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) เมื่อมีบุคคลใดมอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหลักทรัพย์ใดในราคาเดียวหรือหลายราคา และบริษัทหลักทรัพย์ได้ซื้อหลักทรัพย์ให้โดยบุคคลดังกล่าวมิได้ชําระเงินสดเต็มราคาหลักทรัพย์ในวันที่ซื้อหลักทรัพย์นั้น ให้บริษัทหลักทรัพย์บันทึกบัญชีการซื้อหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนและตรงต่อความเป็นจริงไม่ช้ากว่าวันทําการถัดจากวันที่ได้ซื้อหลักทรัพย์นั้น
(2) เมื่อบุคคลใน (1) มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์ขายหลักทรัพย์ที่ได้ซื้อมาตาม (1) ในราคาเดียวหรือหลายราคา และบริษัทหลักทรัพย์ได้ขายหลักทรัพย์ดังกล่าวแล้ว ให้บริษัทหลักทรัพย์บันทึกบัญชีการขายหลักทรัพย์นั้นให้ครบถ้วนและตรงต่อความเป็นจริงไม่ช้ากว่าวันทําการถัดจากวันที่ได้ขายหลักทรัพย์นั้น
ในการบันทึกบัญชีตามวรรคหนึ่ง ให้บริษัทหลักทรัพย์นําเอาราคาที่ได้ซื้อตาม (1) มาหักบัญชีกับราคาที่ได้ขายไป
(3) เมื่อบุคคลใน (1) มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหลักทรัพย์ที่ได้ขายไปนั้นอีกในราคาเดียวหรือหลายราคา และบริษัทหลักทรัพย์ได้ซื้อหลักทรัพย์ให้โดยบุคคลดังกล่าวมิได้ชําระเงินสดเต็มราคาหลักทรัพย์ในวันที่ซื้อหลักทรัพย์นั้น ให้บริษัทหลักทรัพย์บันทึกบัญชีการซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวให้ครบถ้วนและตรงต่อความเป็นจริงไม่ช้ากว่าวันทําการถัดจากวันที่ได้ซื้อหลักทรัพย์นั้น และบริษัทหลักทรัพย์จะบันทึกบัญชีโดยการนําเอาราคาที่ซื้อใหม่นี้หักบัญชีกับราคาขายตาม (2) แทนการหักบัญชีตามที่ระบุไว้ใน (2) วรรคสอง มิได้
ข้อ ๒ ความในข้อ 1 ให้ใช้บังคับแก่การซื้อหลักทรัพย์เพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทหลักทรัพย์เองและการขายหลักทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทหลักทรัพย์เองด้วย โดยอนุโลม
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ -
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,889 |
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กข. 20/2548 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน (ฉบับที่ 4)
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กข. 20/2548
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
และการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน
(ฉบับที่ 4)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 14 มาตรา 100 วรรคสอง และมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกบทนิยามคําว่า “ผู้ให้คําแนะนํา” ในข้อ 1 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23/2544 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2544 และให้ใช้บทนิยามต่อไปนี้แทน
““ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน” หมายความว่า ผู้ทําหน้าที่ติดต่อ ชักชวน ให้คําแนะนํา หรือวางแผนการลงทุน ให้กับผู้ลงทุนหรือลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ในธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งมี 2 ประเภท ได้แก่ ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ก ซึ่งสามารถทําการวิเคราะห์การลงทุนในหลักทรัพย์ได้ด้วย และผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ข ซึ่งไม่สามารถทําการวิเคราะห์การลงทุนในหลักทรัพย์”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในข้อ 6 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23/2544 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2544 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 6 ในการให้คําแนะนํา บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด และจัดให้ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ก ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนดเป็นผู้ดําเนินการ และต้องดูแลให้ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ก ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด
ในกรณีที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนประสงค์จะตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนทําสัญญาตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนเป็นหนังสือ โดยกําหนดสิทธิและหน้าที่ของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนและตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนที่ไม่ขัดหรือแย้งกับประกาศนี้และประกาศที่เกี่ยวข้อง และต้องดูแลให้ตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนปฏิบัติตามสัญญา ประกาศนี้ และประกาศที่เกี่ยวข้อง”
ข้อ 3 ให้ยกเลิกข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ 12 และข้อ 17 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23/2544 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2544
ข้อ 4 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 2,890 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทข. 68/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทข. 68/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
และการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 100 วรรคสอง มาตรา 109 และมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “บริษัทที่ปรึกษาการลงทุน” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
(2) “ตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน” หมายความว่า บุคคลธรรมดาที่มิใช่กรรมการหรือพนักงานของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนตั้งให้เป็นตัวแทนในการให้คําแนะนํา
(3) “ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน” หมายความว่า ผู้ทําหน้าที่ติดต่อ ชักชวน ให้คําแนะนํา หรือวางแผนการลงทุน ให้กับผู้ลงทุนหรือลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ในธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งมีสองประเภท ได้แก่ ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ก ซึ่งสามารถทําการวิเคราะห์การลงทุนในหลักทรัพย์ได้ด้วย และผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ข ซึ่งไม่สามารถทําการวิเคราะห์การลงทุนในหลักทรัพย์
(4) “ลูกค้า” หมายความว่า บุคคลที่ตกลงรับบริการการให้คําแนะนําจากบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน
(5) “การให้คําแนะนํา” หมายความว่า การให้คําแนะนําไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เกี่ยวกับคุณค่าของหลักทรัพย์หรือความเหมาะสมในการลงทุนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์นั้น หรือที่เกี่ยวกับการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใด ๆ
(6) “การให้คําแนะนําทั่วไป” หมายความว่า การให้คําแนะนําแก่บุคคลใด โดยมิได้คํานึงถึงวัตถุประสงค์ในการลงทุน ฐานะทางการเงิน และความต้องการของบุคคลนั้น
(7) “การให้คําแนะนําเฉพาะเจาะจง” หมายความว่า การให้คําแนะนําแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการลงทุน ฐานะทางการเงิน หรือความต้องการ
ของบุคคลนั้น
(8) “หลักประกัน” หมายความว่า หลักประกันเพื่อชดเชยความเสียหายของลูกค้าที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน อันได้แก่
(ก) กรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันภัย
(ข) หนังสือค้ําประกันของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
(ค) หลักประกันอื่นใดตามที่สํานักงานประกาศกําหนด
(9) “สินทรัพย์สภาพคล่อง” หมายความว่า สินทรัพย์ดังต่อไปนี้ที่ปราศจากภาระผูกพัน
(ก) เงินสดและเงินฝากธนาคาร
(ข) บัตรเงินฝากหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ ธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
(ค) ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และพันธบัตรหรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก
(ง) สินทรัพย์สภาพคล่องอื่นใดตามที่สํานักงานประกาศกําหนด
(10) “การจัดอันดับกองทุนรวม” หมายความว่า การให้คําแนะนําหรือความเห็นเกี่ยวกับคุณค่าหรือความเหมาะสมในการลงทุนของกองทุนรวมเชิงเปรียบเทียบ โดยอาจให้สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอื่นใดเพื่อประกอบการให้ความเห็นด้วยก็ได้
(11) “บุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการ” หมายความว่า บุคคลผู้รับผิดชอบในสายงานเกี่ยวกับการให้บริการการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ตั้งแต่ตําแหน่งผู้อํานวยการฝ่ายขึ้นไปจนถึงตําแหน่งผู้จัดการ
(12) “ผู้อํานวยการฝ่าย” หมายความว่า บุคคลที่รับผิดชอบในระดับส่วนงานภายในบริษัท
(13) “ผู้จัดการ” หมายความว่า บุคคลที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนให้เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบสูงสุดในการบริหารงานของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม
ข้อ ๒ ในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนดําเนินการดังต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ หากบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนประสงค์จะดําเนินการจัดอันดับกองทุนรวมด้วยให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อ 3 ด้วย
(1) จัดให้มีระบบงานที่แสดงความพร้อมในการประกอบธุรกิจการเป็นที่ปรึกษา
การลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน ซึ่งรวมถึงระบบการควบคุมภายในในส่วนที่เกี่ยวกับการให้คําแนะนํา และระบบการควบคุมดูแลการลงทุนของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน บุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการ ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน และตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน
(2) จัดให้มีผู้ดูแลการปฏิบัติงานของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเพื่อรับผิดชอบในการออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การควบคุมภายในของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนนั้น รวมทั้งดูแลให้ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน และตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพ
ในกรณีที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนมีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงระบบงานตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานตามวรรคหนึ่ง บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนต้องแจ้งให้สํานักงานทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งหากสํานักงานไม่ทักท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่สํานักงานได้รับแจ้ง ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนดําเนินการเปลี่ยนแปลงระบบงานได้
ข้อ ๓ บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนจะดําเนินการจัดอันดับกองทุนรวมได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) มีระบบงานที่พร้อมในการประกอบธุรกิจการจัดอันดับกองทุนรวม โดยต้องแสดงได้ว่าหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับกองทุนรวมเป็นหลักเกณฑ์ที่มีหลักวิชาการรองรับซึ่งสามารถสะท้อนวัตถุประสงค์ของการจัดอันดับกองทุนรวม และไม่ก่อให้เกิดความสําคัญผิดในสาระสําคัญของข้อมูลการจัดอันดับกองทุนรวมดังกล่าว
(2) มีโครงสร้างการถือหุ้น โครงสร้างองค์กร ขอบเขตการประกอบธุรกิจ กรรมการผู้จัดการ ผู้อํานวยการฝ่าย และบุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการ ที่เชื่อได้ว่าไม่มีส่วนได้เสียอันอาจก่อให้เกิดการขาดความเป็นอิสระในการจัดอันดับกองทุนรวม และสามารถดําเนินงานได้อย่างเป็นกลางและเป็นธรรม
ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนยื่นคําขอรับความเห็นชอบต่อสํานักงานตามแบบที่จัดไว้ในระบบงานอิเล็กทรอนิกส์ของสํานักงาน
ให้สํานักงานพิจารณาคําขอรับความเห็นชอบให้แล้วเสร็จภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคําขอและเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้อง
ข้อ ๔ ในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนต้องดํารงหลักประกันหรือสินทรัพย์สภาพคล่องอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันให้มีมูลค่าเพียงพอตามที่สํานักงานประกาศกําหนด และคํานวณและรายงานการดํารงความเพียงพอของหลักประกันหรือสินทรัพย์สภาพคล่อง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานประกาศกําหนด
ความในวรรคหนึ่งมิให้นํามาใช้บังคับกับบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทอื่นอยู่แล้วก่อนวันที่ยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน และมิให้ใช้บังคับกับบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนที่เป็นนิติบุคคลดังต่อไปนี้
(1) ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเงินทุน ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(2) บริษัทประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และ
(3) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ
ข้อ ๕ โดยไม่เป็นการจํากัดอํานาจคณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 143 ที่จะสั่งเป็นประการอื่น บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนตามข้อ 4 ที่ไม่สามารถดํารงหลักประกันหรือสินทรัพย์สภาพคล่องให้เพียงพอตามที่สํานักงานประกาศกําหนด ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนดังกล่าวปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) จัดทํารายงานที่แสดงถึงความไม่เพียงพอของหลักประกันหรือสินทรัพย์สภาพคล่องตามแบบที่จัดไว้ในระบบงานอิเล็กทรอนิกส์ของสํานักงาน และยื่นต่อสํานักงานภายในสองวันทําการถัดไป
(2) แก้ไขให้สามารถดํารงความเพียงพอของหลักประกันหรือสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่กําหนดได้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าเจ็ดวันทําการติดต่อกัน ภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ไม่สามารถดํารงความเพียงพอดังกล่าวได้ และแจ้งการแก้ไขให้สํานักงานทราบภายในสองวันทําการนับแต่วันที่สามารถแก้ไขได้
ข้อ ๖ ในระหว่างที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนตามข้อ 4 ไม่สามารถดํารงหลักประกันหรือสินทรัพย์สภาพคล่องให้เพียงพอ หรืออยู่ในระหว่างการแก้ไขการดํารงความเพียงพอตามข้อ 5(2)ห้ามมิให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนดังกล่าวดําเนินการดังต่อไปนี้ จนกว่าจะสามารถดํารงความเพียงพอ
ได้ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด
(1) การให้บริการแก่ลูกค้ารายใหม่
(2) การขยายระยะเวลาการให้บริการแก่ลูกค้ารายเดิม
(3) การกระทําอื่นใดที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๗ ในการให้คําแนะนํา บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด และจัดให้ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ก ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนดเป็นผู้ดําเนินการ และต้องดูแลให้ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ก ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานประกาศกําหนด
ในกรณีที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนประสงค์จะตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน
ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนทําสัญญาตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนเป็นหนังสือ โดยกําหนดสิทธิและหน้าที่ของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนและตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนที่ไม่ขัดหรือแย้งกับประกาศนี้และประกาศที่เกี่ยวข้อง และต้องดูแลให้ตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนปฏิบัติตามสัญญา ประกาศนี้ และประกาศที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๘ ห้ามมิให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอนุญาตให้ตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนตั้งตัวแทนช่วง
ข้อ ๙ ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนจัดทําเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน และเก็บไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองปีนับแต่วันจัดทําเอกสารหลักฐานนั้น
(1) ข้อมูลของลูกค้าที่ใช้ประกอบการให้คําแนะนํา
(2) หลักฐานแสดงการส่งเอกสารรับทราบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของลูกค้าที่ปรับปรุงแก้ไข
(3) บทวิเคราะห์ และเอกสารหลักฐานประกอบการวิเคราะห์ที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนส่งให้กับลูกค้า
(4) คําแนะนําที่ให้กับลูกค้า เว้นแต่เป็นการใช้เทปบันทึกเสียงการให้คําแนะนํา
ให้เก็บเทปบันทึกเสียงดังกล่าวไว้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสองเดือนนับแต่วันที่จัดทําเทปบันทึกเสียงนั้น แต่ในกรณีที่มีข้อร้องเรียนของลูกค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับเทปบันทึกเสียงเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสองเดือนดังกล่าว ให้จัดเก็บไว้จนกว่าการดําเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนนั้นจะแล้วเสร็จ
(5) เอกสารแสดงการคํานวณค่าตอบแทนที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนได้รับจากลูกค้าทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
(6) เอกสารหลักฐานเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
(7) ข้อมูลการซื้อ ขาย หรือถือหุ้นหรือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน บุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการ ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน หรือตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน เมื่อการซื้อ ขาย หรือถือหุ้นหรือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นนั้นเป็นผลให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ถือหุ้นหรือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นเป็นจํานวนเกินกว่าร้อยละห้าของจํานวนหุ้นหรือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์นั้น ทั้งนี้ ให้นับรวมหุ้นหรือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลดังกล่าวด้วย
ในกรณีที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนดําเนินการจัดอันดับกองทุนรวม ให้เก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดอันดับกองทุนรวมและข้อมูลที่ใช้ประกอบการพิจารณาจัดอันดับกองทุนรวมไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองปีนับแต่วันเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว
ข้อ ๑๐ ในการจัดอันดับกองทุนรวม บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ใช้ข้อมูลประกอบการจัดอันดับกองทุนรวมที่มาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและสามารถอ้างอิงได้
(2) จัดอันดับกองทุนรวมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดอันดับกองทุนรวมด้วยความสุจริต เป็นธรรม เป็นกลาง และเป็นอิสระ รวมทั้งใช้ความระมัดระวัง โดยคํานึงถึงผู้รับข้อมูลเป็นสําคัญ
(3) ระบุวัตถุประสงค์ในการจัดอันดับกองทุนรวม หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับกองทุนรวม และคําอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลการจัดอันดับกองทุนรวม ตลอดจนแสดงคําเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดอันดับกองทุนรวม โดยมีสาระสําคัญของคําเตือนว่า ข้อมูลการจัดอันดับกองทุนเป็นเพียงข้อมูลหนึ่งที่ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ไว้ในเอกสารที่จัดทําขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลการจัดอันดับกองทุนรวม
(4) จัดให้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเป็นผู้ชี้แจงอธิบายข้อมูลการจัดอันดับกองทุนรวมเมื่อได้รับการซักถาม
(5) ในกรณีที่มีการใช้สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอื่นใดประกอบการจัดอันดับกองทุนรวม สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายดังกล่าวจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(6) ในกรณีที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนมีความประสงค์จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับกองทุนรวม และสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอื่นใดที่ใช้ประกอบการจัดอันดับกองทุนรวม ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนแจ้งให้สํานักงานทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หากสํานักงานไม่ทักท้วงภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งกรณีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ หรือภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งกรณีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอื่นใดนั้น ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนดําเนินการแก้ไข เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่ใช้ในการจัดอันดับกองทุนรวมได้
(7) ห้ามมิให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนทําการจัดอันดับกองทุนรวมใด หากบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน กรรมการ ผู้จัดการ ผู้อํานวยการฝ่าย หรือบุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการ มีความเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมกับกองทุนรวมหรือบริษัทจัดการนั้นในลักษณะที่จะทําให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนขาดความเป็นธรรม เป็นกลางและเป็นอิสระในการจัดอันดับกองทุนรวม
(8) ห้ามมิให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนกระทําการใด ๆ อย่างไม่เหมาะสมจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใช้ข้อมูล กองทุนรวม บริษัทจัดการ หรือความเชื่อมั่นในธุรกิจหลักทรัพย์หรือตลาดทุนโดยรวม
ข้อ ๑๑ ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนยื่นรายงานหรือแสดงเอกสารเกี่ยวกับการจัดอันดับกองทุนรวมตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวตามที่สํานักงานกําหนด ในการนี้ สํานักงานจะให้ทําคําชี้แจงเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานหรือเอกสารนั้นด้วยก็ได้
ข้อ ๑๒ ในกรณีที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อ 3 ข้อ 10 หรือข้อ 11 หรือกระทําการใด ๆ อย่างไม่เหมาะสมจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใช้ข้อมูล กองทุนรวมหรือความเชื่อมั่นในธุรกิจหลักทรัพย์ หรือตลาดทุนโดยรวม ให้สํานักงานมีอํานาจสั่งให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนกระทําการ แก้ไขการกระทํา หรืองดเว้นการกระทําได้
ในกรณีที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนไม่สามารถกระทําการ แก้ไขการกระทํา หรืองดเว้นการกระทํา ตามคําสั่งของสํานักงานตามวรรคหนึ่ง ให้การให้ความเห็นชอบตามข้อ 3 เป็นอันสิ้นสุดลงทันที
ข้อ ๑๓ ในกรณีที่ตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนรายใดได้รับการว่าจ้างจากบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนมากกว่าหนึ่งแห่ง บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนต้องกําหนดให้ตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนแจ้งให้ลูกค้าทราบทุกครั้งก่อนให้คําแนะนําว่า คําแนะนําที่ตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนให้ในครั้งนั้นกระทําในฐานะตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุนของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนใด
ข้อ ๑๔ ก่อนการให้คําแนะนําทั่วไปครั้งแรก บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าการลงทุนในหลักทรัพย์มีทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง ไม่ว่าจะใช้คําแนะนําของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ คําแนะนําทั่วไปคือคําแนะนําที่ไม่คํานึงถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ดังนั้น ก่อนนําคําแนะนํานี้ไปใช้ ลูกค้าควรพิจารณาความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน ฐานะทางการเงิน และระดับความเสี่ยงที่ลูกค้ายอมรับได้
ข้อ ๑๕ ในการให้คําแนะนําเฉพาะเจาะจงแก่ลูกค้า ให้บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนปฏิบัติดังต่อไปนี้ด้วย
(1) แจกคู่มือการให้บริการคําแนะนําการลงทุนที่มีลักษณะตามข้อ 16 แก่ลูกค้าก่อนการให้คําแนะนําแก่ลูกค้าในครั้งแรก โดยต้องมีหลักฐานแสดงการแจกเอกสารดังกล่าวด้วย
(2) จัดทําข้อมูลของลูกค้าไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีรายการตามที่สํานักงานประกาศกําหนด และให้ลูกค้าลงนามรับทราบความถูกต้องของข้อมูล รวมทั้งปรับปรุงข้อมูลของลูกค้าให้เป็นปัจจุบันอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญ พร้อมส่งให้ลูกค้าลงนามรับทราบความถูกต้องของข้อมูลที่ปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว กรณีลูกค้ามิได้ทักท้วงภายในสามสิบวันนับแต่วันที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนได้จัดส่งให้แก่ลูกค้า ให้ถือว่าข้อมูลดังกล่าวถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบันแล้ว
(3) ให้คําแนะนําที่เหมาะสมกับลูกค้า โดยประเมินจากปัจจัยต่าง ๆ ของลูกค้า เช่น วัตถุประสงค์ในการลงทุน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงและการลงทุน ประสบการณ์ในการลงทุน ฐานะทางการเงิน ภาระทางการเงิน ความต้องการและข้อจํากัดในการลงทุน เป็นต้น
ข้อ ๑๖ ในการจัดทําคู่มือการให้บริการคําแนะนําการลงทุน เพื่อแจกจ่ายแก่ลูกค้า ต้องใช้ภาษาที่ง่ายต่อความเข้าใจและมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันโดยมีการระบุวันที่ที่จัดทําข้อมูลนั้น และจะต้องไม่มีข้อความโฆษณาใด ๆ ทั้งนี้ จะต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย
(1) ชื่อ ที่อยู่ และเลขที่ใบอนุญาตของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน รวมทั้งการประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน (ถ้ามี) ทั้งนี้ ให้ระบุเฉพาะประเภทของธุรกิจอื่นดังกล่าว
(2) ชื่อ ที่อยู่ ประวัติ และประสบการณ์ เลขประจําตัวของผู้ทําหน้าที่ในการให้คําแนะนําแก่ลูกค้ารายนั้น ๆ
(3) ข้อความที่ระบุว่า การให้คําแนะนํากระทําในนามบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนและบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนดังกล่าวจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อคําแนะนําที่ให้แก่ลูกค้า
(4) ข้อความที่ระบุถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของลูกค้า อันได้แก่
(ก) สิทธิที่จะได้รับแจ้งหากมีพฤติการณ์ใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
(ข) สิทธิที่จะตรวจสอบข้อมูลของตนเอง รวมถึงคําแนะนําที่เคยได้รับที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเก็บรักษาไว้ตามข้อ 9
(ค) สิทธิที่จะได้รับคําแนะนําที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน สถานภาพทางการเงิน และความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย
(ง) สิทธิที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานและความเสี่ยงของหลักทรัพย์ ที่แนะนํา รวมทั้งกลยุทธ์การลงทุน
(5) ลักษณะของคําแนะนําทั่วไปและคําแนะนําเฉพาะเจาะจง
(6) มาตรการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนจัดให้มีขึ้น
(7) วิธีการและแหล่งข้อมูลที่ผู้ให้คําแนะนําจะนํามาใช้เพื่อการให้คําแนะนําแก่ลูกค้า
(8) วิธีการและฐานในการคํานวณค่าธรรมเนียม รวมทั้งวิธีการจ่ายค่าธรรมเนียม หรือผลประโยชน์อื่นแก่บริษัทที่ปรึกษาการลงทุน
(9) ขั้นตอนการยื่นข้อร้องเรียน ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลหรือหน่วยงานที่จะรับข้อร้องเรียน
(10) แสดงข้อความว่า “การลงทุนในหลักทรัพย์มีทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง ไม่ว่าจะใช้คําแนะนําของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนหรือไม่ก็ตาม โดยการให้คําแนะนําจะพิจารณาจากข้อมูลของลูกค้าที่ได้ให้ไว้กับบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน” โดยแสดงไว้ในกรอบสี่เหลี่ยม ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าวต้องมีขนาดของตัวอักษรไม่เล็กกว่าขนาดของตัวอักษรที่แสดงข้อความที่เป็นเนื้อหาปกติ
ข้อ ๑๗ ความในข้อ 2 และข้อ 9(7) มิให้นํามาใช้บังคับกับบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนอยู่ก่อนวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2545 หากบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนดังกล่าวได้แจ้งให้สํานักงานทราบเป็นหนังสือภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2545 ว่ายังไม่ประสงค์จะให้คําแนะนําแก่ลูกค้า
บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนตามวรรคหนึ่ง หากประสงค์จะกลับมาให้คําแนะนําแก่ลูกค้า บริษัทดังกล่าวต้องมีหนังสือแจ้งให้สํานักงานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนเริ่มให้คําแนะนําแก่ลูกค้า พร้อมทั้งแสดงได้ว่าสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในประกาศนี้
ข้อ ๑๘ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23 /2544 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2544 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๑๙ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23 /2544 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษา
การลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2544 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๒๐ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 23 /2544 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและการตั้งตัวแทนที่ปรึกษาการลงทุน ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2544 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,891 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทข. 69/2552 เรื่อง การกำหนดลักษณะของการให้คำแนะนำแก่ประชาชนที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ หลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน จะกระทำมิได้
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทข. 69/2552
เรื่อง การกําหนดลักษณะของการให้คําแนะนําแก่ประชาชน
ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
หลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
จะกระทํามิได้
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
คําว่า “การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวตามที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกําหนดให้การประกอบธุรกิจของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่เป็นการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
ข้อ ๒ บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน จะให้คําแนะนําแก่ประชาชนในลักษณะของการจัดอันดับความน่าเชื่อถือมิได้
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง การกําหนดลักษณะของการให้คําแนะนําแก่ประชาชนที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน จะกระทํามิได้ ลงวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง การกําหนดลักษณะของการให้คําแนะนําแก่ประชาชนที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน จะกระทํามิได้ ลงวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2536 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง การกําหนดลักษณะของการให้คําแนะนําแก่ประชาชนที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน จะกระทํามิได้ ลงวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2536 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,892 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทน. 75/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการชำระบัญชีของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนซึ่งเป็นคนต่างด้าว
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทน. 75/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการชําระบัญชีของกองทุนรวม
เพื่อผู้ลงทุนซึ่งเป็นคนต่างด้าว
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 130 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “กองทุนรวม” หมายความว่า กองทุนรวมประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่จัดตั้งและจัดการโดยบริษัทจัดการ เพื่อผู้ลงทุนซึ่งเป็นคนต่างด้าว
(2) “บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนซึ่งเป็นคนต่างด้าว
(3) “ผู้ดูแลผลประโยชน์” หมายความว่า ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม
(4) “ผู้ชําระบัญชี” หมายความว่า ผู้ที่บริษัทจัดการแต่งตั้งให้เป็นผู้ชําระบัญชีของกองทุนรวมและได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน
(5) “ทรัพย์สิน” หมายความรวมถึง หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ด้วย
ข้อ ๒ เมื่อเลิกกองทุนรวมแล้ว ให้บริษัทจัดการส่งมอบบัญชี เอกสารหลักฐานต่าง ๆ และงบการเงินของกองทุนรวม ณ วันเลิกกองทุนรวมที่รับรองโดยบริษัทจัดการนั้นเอง รวมทั้งดําเนินการให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ส่งมอบบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของกองทุนรวมนั้นให้แก่
ผู้ชําระบัญชีภายในสิบห้าวันทําการนับแต่วันเลิกกองทุนรวม
ข้อ ๓ ให้ผู้ชําระบัญชีจําหน่ายทรัพย์สินของกองทุนรวมโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ผู้ชําระบัญชีจะแต่งตั้งผู้ที่มีความสามารถในการจัดการลงทุนให้เป็นผู้จําหน่ายทรัพย์สินของกองทุนรวมแทนก็ได้
ข้อ ๔ ให้ผู้ชําระบัญชีมีอํานาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) เก็บรวบรวมและรับทรัพย์สินของกองทุนรวมหรือที่กองทุนรวมมีสิทธิจะได้รับจากบุคคลอื่น รวมทั้งจําหน่ายทรัพย์สินของกองทุนรวมด้วย
(2) ชําระหนี้ในนามกองทุนรวม และชําระค่าธรรมเนียม ค่าภารติดพัน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นซึ่งต้องเสียในการชําระบัญชีของกองทุนรวม
(3) แบ่งเงินหรือทรัพย์สินที่เหลืออยู่ภายหลังการชําระหนี้ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อปรากฏในทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน ณ วันเลิกกองทุนรวม
(4) จดทะเบียนเลิกกองทุนรวมกับสํานักงาน
(5) ดําเนินการโอนทรัพย์สินคงค้างให้แก่สํานักงาน
(6) ดําเนินการอย่างอื่นที่จําเป็นเพื่อให้การชําระบัญชีเสร็จสิ้น
การชําระค่าธรรมเนียม ค่าภารติดพัน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นซึ่งต้องเสียในการชําระบัญชีของกองทุนรวมตามวรรคหนึ่ง (2) ให้ชําระก่อนการชําระหนี้รายอื่น
ข้อ ๕ ให้ผู้ชําระบัญชีฝากทรัพย์สินของกองทุนรวมไว้กับผู้ดูแลผลประโยชน์
โดยผู้ชําระบัญชีเป็นผู้สั่งรับและจ่ายทรัพย์สินดังกล่าว
ข้อ ๖ ภายในเจ็ดวันทําการนับแต่วันที่ผู้ชําระบัญชีได้รับมอบบัญชีและเอกสารหลักฐานของกองทุนรวมตามข้อ 2 ให้ผู้ชําระบัญชีดําเนินการดังต่อไปนี้
(1) แจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าหนี้ซึ่งมีชื่อปรากฏในบัญชีและเอกสารหลักฐานของกองทุนรวมยื่นคําทวงหนี้แก่ผู้ชําระบัญชีภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้รับหนังสือแจ้ง
(2) แจ้งเป็นหนังสือให้ลูกหนี้ซึ่งมีชื่อปรากฏในบัญชีและเอกสารหลักฐานของกองทุนรวมชําระหนี้แก่ผู้ชําระบัญชีภายในเวลาอันควร
ในการส่งหนังสือแจ้งให้เจ้าหนี้และลูกหนี้ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ชําระบัญชีส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ หรือส่งโดยวิธีอื่นใดที่มีหลักฐานการตอบรับ
ข้อ ๗ ถ้าเจ้าหนี้ของกองทุนรวมมิได้ยื่นคําทวงหนี้แก่ผู้ชําระบัญชี ให้ผู้ชําระบัญชีวางเงินเท่าจํานวนหนี้ตามที่ปรากฏในบัญชีและเอกสารหลักฐานของกองทุนรวมและเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมไว้ ณ สํานักงานวางทรัพย์ ตามกฎหมาย กฎข้อบังคับ และระเบียบเกี่ยวกับการวางทรัพย์ และให้ผู้ชําระบัญชีแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าหนี้ซึ่งมีชื่อปรากฏในบัญชีและเอกสารหลักฐานของกองทุนรวมทราบถึงการวางเงินดังกล่าวโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ในการนี้ ผู้ชําระบัญชี
ต้องดําเนินการใด ๆ ตามความจําเป็นเพื่อให้สํานักงานเป็นผู้มีสิทธิถอนเงินที่วางไว้ซึ่งเจ้าหนี้มิได้เรียกเอาภายในสิบปีนับแต่วันที่ได้รับคําบอกกล่าวการวางเงินในฐานะที่เป็นทรัพย์สินคงค้างของกองทุนรวม รวมทั้งรับเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่เหลือคืน
ข้อ ๘ เมื่อผู้ชําระบัญชีได้ชําระหนี้หรือกันเงินเพื่อการชําระหนี้ทั้งหมดของกองทุนรวมแล้วให้ผู้ชําระบัญชีแบ่งเงินหรือทรัพย์สินส่วนที่เหลือนั้นให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามส่วนของหน่วยลงทุนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายถืออยู่ตามหลักฐานที่ปรากฏในทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน ณ วันเลิกกองทุนรวม
ข้อ ๙ ผู้ชําระบัญชีต้องชําระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายในเก้าสิบวันนับแต่วันเลิกกองทุนรวมและต้องจดทะเบียนเลิกกองทุนรวมต่อสํานักงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ชําระบัญชีเสร็จสิ้น ทั้งนี้
ให้ผู้ชําระบัญชีจัดส่งรายงานผลการชําระบัญชีต่อสํานักงาน ตามแบบที่จัดไว้ในระบบงานอิเล็กทรอนิกส์ของสํานักงาน และจัดส่งเอกสารดังต่อไปนี้ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน
(1) สําเนางบการเงินสําหรับระยะเวลานับแต่วันที่เลิกกองทุนรวมจนถึงวันที่ชําระบัญชีเสร็จสิ้น ซึ่งประกอบด้วย
(ก) งบรายรับและรายจ่าย
(ข) งบรายได้และค่าใช้จ่าย
(ค) งบแสดงส่วนของผู้ถือหน่วยลงทุน
(2) เอกสารอื่นซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(ก) จํานวนเงินหรือทรัพย์สินที่จ่ายคืนผู้ถือหน่วยลงทุนคิดเป็นต่อหน่วยลงทุน
(ข) วันที่จดทะเบียนเลิกกองทุนรวมกับสํานักงาน
ในกรณีที่ผู้ชําระบัญชีไม่สามารถชําระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กําหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ชําระบัญชีทําหนังสือขอผ่อนผันระยะเวลาการชําระบัญชีต่อสํานักงานพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลในการขอผ่อนผัน ในกรณีที่สํานักงานผ่อนผันระยะเวลาการชําระบัญชี สํานักงานอาจสั่งให้
ผู้ชําระบัญชีดําเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเร่งรัดการชําระบัญชีตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ ให้ผู้ชําระบัญชีส่งรายงานการชําระบัญชีพร้อมแถลงความเป็นไปในการชําระบัญชีให้สํานักงานทราบเป็นรายเดือนจนกว่าการชําระบัญชีจะเสร็จสิ้น
ข้อ ๑๐ เมื่อสํานักงานรับจดทะเบียนเลิกกองทุนรวมแล้ว ให้ผู้ชําระบัญชีส่งมอบบัญชีและเอกสารหลักฐานทั้งหมดของกองทุนรวมให้แก่บริษัทจัดการที่รับจัดการกองทุนรวมนั้นเก็บรักษาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันจดทะเบียนเลิกกองทุนรวม
ข้อ ๑๑ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 22/2539 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการชําระบัญชีของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนซึ่งเป็นคนต่างด้าว ลงวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2539 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะมีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๑๒ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงกับประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 22/2539 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการชําระบัญชีของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนซึ่งเป็นคนต่างด้าว ลงวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2539 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๑๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ -
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์การชําระบัญชีกองทุนรวม เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 22/2539 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการชําระบัญชีกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนซึ่งเป็นคนต่างด้าว ลงวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2539 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,893 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทน. 78/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการจัดทำงบการเงินของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทน. 78/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการจัดทํางบการเงิน
ของกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 140 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
ข้อ ๒ ในการจัดทํางบการเงินของกองทุนส่วนบุคคลที่เป็นกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ให้บริษัทจัดการจัดทํางบการเงินตามมาตรฐานการบัญชีสําหรับกิจการที่มีธุรกิจเฉพาะด้านการลงทุนที่กําหนดโดยสภาวิชาชีพบัญชี และตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานประกาศกําหนด
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 17/2543 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการจัดทํางบการเงินของกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2543 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 17/2543 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการจัดทํางบการเงินของกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2543 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ -
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทํางบการเงินของกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 17/2543 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการจัดทํางบการเงินของกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2543 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,894 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 116/2545 เรื่อง การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 116/2545
เรื่อง การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นใน
ราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีการให้บริการที่กระทําในราชอาณาจักรและได้
มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร
----------------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีการให้บริการที่กระทําใน ราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง (9) (10) และ (11) ในข้อ 3 ของคําสั่งกรมสรรพากรที่ ป.104/2544 เรื่อง การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีการให้บริการที่กระทําในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544
“(9) บริษัท ฌ จํากัด ได้ทําสัญญาใช้บริการนําเสนอข้อมูลสินค้าหรือบริการผ่านอินเตอร์เน็ต หรือบริการเช่าพื้นที่บนเว็บไซท์ (Web Site) หรือบริการเช่าพื้นที่บนเซิร์ฟเวอร์ (Server) ของบริษัทในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ฌ จํากัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) โดยคํานวณจากค่าบริการทั้งหมด
(10) บริษัท ญ จํากัด ได้ทําสัญญาใช้บริการอินเตอร์เน็ต หรือบริการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider) จากบริษัทในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ญ จํากัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) โดยคํานวณจากค่าบริการทั้งหมด
(11) บริษัท ฎ จํากัด ได้ทําสัญญาใช้บริการรับฝากเซิร์ฟเวอร์ (Data Management หรือ Co-Location) จากบริษัทในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ฎ จํากัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ นําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) โดยคํานวณจากค่าบริการทั้งหมด”
ข้อ ๒ 2 ให้ยกเลิกความในข้อ 6 ของคําสั่งกรมสรรพากรที่ ป.104/2544 เรื่องการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้น ในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีการให้บริการที่กระทําใน ราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2544 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 6 กรณีผู้ประกอบการซึ่งได้ให้บริการที่กระทําในต่างประเทศและ มิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ไม่ถือว่าการให้บริการนั้นเป็นการให้บริการในราชอาณาจักร ตามมาตรา 77/2 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการดังกล่าวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/13 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินค่าบริการจึงไม่มีหน้าที่ต้องนําส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่าง
(1) บริษัท ก จํากัด ประกอบกิจการขายสินค้า ทําสัญญาว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศให้เป็นนายหน้าติดต่อหาลูกค้าในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ก จํากัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36)
(2) บริษัท ข จํากัด ประกอบกิจการประเภทธุรกิจหลักทรัพย์ ได้ทําสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารในต่างประเทศ โดยบริษัท ข จํากัด ได้ว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศแห่งหนึ่งเป็นตัวแทนในการจัดหาแหล่งเงินกู้ ซึ่งบริษัท ข จํากัดจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ตัวแทน ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ข จํากัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36)
(3) บริษัท ค จํากัด ประกอบกิจการผลิตสินค้า ได้ทําสัญญาแต่งตั้งบริษัทในต่างประเทศเป็นตัวแทนในการชําระราคาค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายในต่างประเทศ โดย ตัวแทนต้องจ่ายเงินทดรองแทนบริษัทฯ ไปก่อนและเรียกเก็บเงินคืนจากบริษัทฯ พร้อมกับ เรียกเก็บค่าบริการ ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ค จํากัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36)
(4) บริษัท ง จํากัด ประกอบกิจการโรงแรม ได้ทําสัญญาว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศให้ดําเนินการส่งเสริมการขาย การตลาด โฆษณา และรับจองห้องพัก ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ง จํากัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36)
(5) สถานีโทรทัศน์ในต่างประเทศรับจ้างโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์ในต่างประเทศ โดยมีรายได้จากการรับจ้างโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์จากผู้ผลิตหรือผู้จําหน่าย สินค้าทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งมีผู้ผลิตหรือผู้จําหน่ายสินค้าในประเทศไทยได้ว่าจ้างโฆษณาดังกล่าวด้วย ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ผู้ผลิตหรือผู้จําหน่ายสินค้าในประเทศไทยไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36)
(6) บริษัท จ จํากัด ว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศจัดทําโฆษณาลงในนิตยสารสวัสดีที่มีผู้โดยสารอ่านบนเครื่องบินซึ่งมีทั้งสายการบินในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท จ จํากัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36)
(7) บริษัท ฉ จํากัด ว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศลงพิมพ์โฆษณาในนิตยสาร (Magazine) ในต่างประเทศ ซึ่งมีการขายนิตยสารดังกล่าวในประเทศไทยด้วย ถือเป็นการให้บริการที่กระทําในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ฉ จํากัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36)”
ข้อ ๓ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2544 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,895 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 115/2545 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับกิจการตัวแทน ประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิต
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 115/2545
เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับกิจการตัวแทน ประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิต
-------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนําเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับกิจการตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิต กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคําสั่งนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
(1) คําว่า “บริษัทประกันชีวิต” หมายความว่า บริษัทประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
(2) คําว่า “ตัวแทน” หมายความว่า ตัวแทนประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และให้หมายความรวมถึงบุคคลซึ่งทําหน้าที่งานลักษณะทํานองเดียวกับ ตัวแทนประกันชีวิตให้แก่บุคคลใด ๆ
(3) คําว่า “นายหน้า” หมายความว่า นายหน้าประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และหมายความรวมถึงบุคคลที่ทําหน้าที่งานลักษณะทํานองเดียวกับนายหน้าประกันชีวิตให้แก่บุคคลใด ๆ
(4) คําว่า “หัวหน้าตัวแทน” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อตกลงหรือข้อผูกพันกับบริษัทประกันชีวิตให้ทําหน้าที่ในฐานะผู้นํากลุ่มซึ่งมีหน้าที่ให้คําแนะนํา ให้ความช่วยเหลือ ให้คําปรึกษา หรือด้วยประการอื่นใด แก่ตัวแทนที่อยู่ในกลุ่มหรืออยู่ในทีมหรือในลักษณะทํานองเดียวกับกลุ่ม หรือทีม ไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าเขต หรือหัวหน้าภาค หรือเรียกเป็นอย่างอื่นในลักษณะทํานองเดียวกัน โดยจะได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทประกันชีวิต
(5) คําว่า “ค่าตอบแทน” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่คํานวณได้เป็นเงิน รวมทั้งค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นค่าบําเหน็จ ค่าธรรมเนียม ส่วนลด รางวัล โบนัส หรือเรียกเป็นอย่างอื่นที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับเนื่องจากการเป็นตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน
ตัวอย่าง
(ก) ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทประกันชีวิตได้ให้ไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ หรือไปสัมมนาที่ต่างประเทศ มูลค่าของประโยชน์ที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับจากการไปท่องเที่ยวหรือสัมมนาในต่างประเทศ ดังกล่าว ถือเป็นค่าตอบแทนที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับจากบริษัทประกันชีวิตที่ต้องนํามารวมคํานวณเสียภาษีด้วย
(ข) บริษัทประกันชีวิตมีนโยบายให้รางวัลแก่ตัวแทนประกันชีวิต หรือนายหน้าประกันชีวิตหรือหัวหน้าตัวแทน ที่ทําผลงานได้ดีเด่น หรือทํารายได้ได้ตามเป้า ตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทประกันชีวิตกําหนดไว้ โดยให้รางวัลเป็นเงินหรือทรัพย์สิน รางวัลดังกล่าวย่อมถือเป็นค่า ตอบแทนของตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันชีวิต ซึ่งต้องนํามารวมคํานวณเสียภาษีด้วย
ข้อ ๒ ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน มีหน้าที่ต้องเสียภาษีดังนี้
2.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้า ตัวแทน ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา
(1) ค่าตอบแทนที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตหรือบุคคลใด ๆ เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้อย่างเดียวในอัตราร้อยละ 40 ของค่าตอบแทนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท และในกรณีที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร จากนายจ้างอื่นด้วย ให้หักค่าใช้จ่ายสําหรับเงินได้ตามมาตรา 40(1) และมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการเหมาได้อย่างเดียวในอัตราร้อยละ 40 ของเงินได้ที่ได้รับ แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท
ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่งมีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจาก ปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ในกรณีผู้มีเงินได้เป็น ฝ่ายภริยา และได้อยู่ร่วมกันกับสามีตลอดปีภาษีในปีที่มีเงินได้ ให้ถือเอาเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี ตามมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนมีหลักฐานในการประกอบกิจการให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ได้ประกอบกิจการในรูปแบบของการทําธุรกิจและสามารถพิสูจน์รายจ่ายในการประกอบกิจการได้ ซึ่งต้องมีลักษณะการประกอบกิจการดังนี้
(ก) ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและ
(ข) ได้จัดตั้งเป็นสํานักงานในการประกอบกิจการ โดยมีอาคารสํานักงานเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง หรือเช่าจากบุคคลอื่น โดยมีหลักฐาน เช่น หลักฐานการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่าสํานักงาน และ
(ค) มีการลงทุนด้วยการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ มีค่าใช้จ่ายสํานักงาน และ
(ง) มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีหลักฐานตามสัญญาจ้างแรงงาน หลักฐานการจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และหลักฐานการแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนําส่ง ในกรณีการคํานวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่มีภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายและนําส่ง จะต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นรายการเกี่ยวกับค่าจ้างแรงงานตามแบบ ภ.ง.ด.1 ก.
(จ) มีค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ เช่น ค่ารับรอง หรือค่าบริการเพื่อประโยชน์ในการติดต่องานกับลูกค้า และ
(ฉ) มีหนังสือรับรองจากบริษัทประกันชีวิต ว่าไม่มีการจ่ายเงินชดเชยหรือออกค่าใช้จ่ายแทนให้ค่าตอบแทนที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตในการประกอบกิจการตามวรรคหนึ่ง เข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร และในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจําเป็นและสมควร โดยให้นํามาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ หากตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนไม่สามารถพิสูจน์รายจ่ายและไม่มีหลักฐานในการประกอบกิจการตามวรรคหนึ่ง เงินค่าตอบแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตเข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่งมีเงินได้ตามวรรค สองต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและชําระภาษี ดังนี้
(ก) ค่าตอบแทนที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพร้อมกับชําระภาษีภายในเดือนกันยายนของทุกปีภาษี ทั้งนี้ ตามมาตรา 56 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
(ข) ค่าตอบแทนที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพร้อมกับชําระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปี ถัดไป โดยให้นําภาษีที่ชําระไว้แล้วตาม (ก) มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องชําระได้ ทั้งนี้ ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นฝ่ายภริยาและได้อยู่ร่วมกันกับสามีตลอดปีภาษีในปีที่มีเงินได้ ให้ถือเอาเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี ตามมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
(3) ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่งได้มีการรวมกับบุคคลอื่นในลักษณะเป็นกลุ่มหรือทีมหรือในลักษณะทํานองเดียวกันในการหาผู้เอาประกันชีวิต โดยตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนต้องได้รับค่าตอบแทนในการทําหน้าที่เป็นตัวแทนหรือ นายหน้าเพียงคนเดียว แต่ปรากฏหลักฐานว่าให้มีการรับเงินค่าตอบแทนในชื่อบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลอื่นจะได้รับค่าตอบแทนจริงหรือไม่ ให้ถือว่าค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นเงินได้ของตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนนั้นทั้งจํานวน
2.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีนายหน้าประกันชีวิตซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ค่าตอบแทนจากการเป็นนายหน้าประกันชีวิต ต้องนํามารวมเป็นรายได้ในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
2.3 ภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้บริการของตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนแก่บริษัทประกันชีวิตหรือบุคคลใด ๆ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยต้องนํารายรับซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่ได้รับมารวมคํานวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้
(1)กรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนมีรายรับไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี ย่อมได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกําหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 354) พ.ศ. 2542 จึงไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนตามวรรคหนึ่ง หากประสงค์จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็ให้กระทําได้โดยให้แจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้แจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากร ตามมาตรา 81/3(2) และมาตรา 85/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร
(2)กรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนมีรายรับเกิน 1,200,000 บาทต่อปี ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน 1,200,000 บาทต่อปี ตามมาตรา 85/1(1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามอัตราภาษีตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่งได้มีการรวมกับบุคคลอื่นในลักษณะเป็นกลุ่มหรือทีมหรือในลักษณะทํานองเดียวกันในการหาผู้เอาประกันชีวิต โดยตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนต้องได้รับค่าตอบแทนในการทําหน้าที่เป็นตัวแทนหรือ นายหน้าเพียงคนเดียว แต่ปรากฏหลักฐานว่าให้มีการรับเงินค่าตอบแทนในชื่อบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลอื่นจะได้รับค่าตอบแทนจริงหรือไม่ ให้ถือว่าค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นรายรับของตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนนั้นทั้งจํานวน
ข้อ ๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือบุคคลใด ๆ ซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน ผู้จ่ายมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และต้องนําส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ต่อกรมสรรพากรภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด
ในการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้จ่ายที่จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนที่มีการรวมกลุ่มกับบุคคลอื่นในลักษณะรวมกันเป็นทีมหรือกลุ่มหรือในลักษณะทํานองเดียวกันในการหาผู้เอาประกันชีวิต โดยผู้จ่ายต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่งทําหน้าที่เป็นตัวแทนหรือนายหน้าเพียงคนเดียว แต่ปรากฏหลักฐานว่าให้มีการรับเงินค่าตอบแทนในชื่อบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลอื่นจะได้รับค่าตอบแทนจริงหรือไม่ ให้ถือว่าการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าว เป็นการจ่ายให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือ หัวหน้าตัวแทนนั้นทั้งจํานวน
ตัวอย่าง นาย ก. เป็นตัวแทนประกันชีวิต ได้ทําหน้าที่เป็นตัวแทนประกันชีวิตตามกรมธรรม์ที่นาย ก. เป็นตัวแทนในการหาประกันชีวิตแต่เพียงผู้เดียว แต่ได้มีการจ่ายค่าตอบแทนในชื่อของบุคคลอื่นที่อยู่ในกลุ่มหรือทีมในการหาประกันชีวิตของนาย ก. ด้วย ถือได้ว่าเป็นการจ่ายค่าตอบแทนให้นาย ก. เพียงคนเดียว
ข้อ ๔ การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามข้อ 3 ให้ผู้จ่ายคํานวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) กรณีจ่ายค่าตอบแทนที่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร ตามข้อ 2.1(1) ให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา จะต้องคํานวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้
(ก) กรณีการจ่ายค่าตอบแทนที่สามารถคํานวณหาจํานวนคราวที่จะ ต้องจ่าย (ต่อปี) ได้ ให้คํานวณหาจํานวนค่าตอบแทนเสมือนว่าได้จ่ายทั้งปี โดยให้นําค่าตอบแทนที่จ่ายแต่ละคราวคูณด้วยจํานวนคราวที่จะต้องจ่ายในปีภาษีนั้น ได้จํานวนเท่าใดให้นําค่าตอบแทนเสมือนจ่ายทั้งปีนั้น มาคํานวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ นํามาหัก ค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และคํานวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้สําหรับบุคคลธรรมดา ได้จํานวนภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้นํามาหารด้วยจํานวนคราวที่จะต้องจ่ายทั้งปี ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในแต่ละคราวที่จ่ายเงิน
กรณีมีการเปลี่ยนแปลงจํานวนค่าตอบแทนที่จ่ายระหว่างปีให้คํานวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายใหม่ทุกคราว ตามวิธีการตามวรรคหนึ่ง
กรณีมีการจ่ายเงินพิเศษเป็นครั้งคราวระหว่างปี เช่น รางวัล โบนัส หรือประโยชน์จากการได้ไปสัมมนาหรือท่องเที่ยว ให้นําเงินพิเศษนั้นคูณด้วยจํานวนคราว ที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) เพื่อหาจํานวนเงินพิเศษเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี และให้นํามารวมเข้ากับ ค่าตอบแทนที่จ่ายตามปกติที่คํานวณได้เสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคํานวณภาษีใหม่ ตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ นํามาหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และคํานวณภาษี ตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้สําหรับบุคคลธรรมดา เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้นําภาษีที่คํานวณจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามปกติทั้งปี (ก่อนจ่ายเงินพิเศษ) หักออกได้ผลลัพธ์เป็นเงินภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย สําหรับเงินพิเศษซึ่งจ่ายเป็นครั้งคราวนั้น แล้วให้นํามารวมกับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สําหรับเงินที่จ่ายตามปกติในคราวนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเงินภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายทั้งสิ้น ในคราวที่มีการจ่ายเงินพิเศษนั้น
(ข) กรณีการจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่สามารถคํานวณหาจํานวนคราวที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) ให้คํานวณภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละคราวตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีนําส่งไว้เท่านั้น หากคํานวณแล้วไม่มีเงินภาษีที่ต้องเสียก็ไม่ต้องหัก ในปีเดียวกันนี้ถ้ามีการจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้รับรายเดียวกันนี้อีก ให้นําค่าตอบแทนที่จ่ายในครั้งแรกมารวมกับค่าตอบแทนที่จ่ายในครั้งที่สองแล้วคํานวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร เช่นเดียวกับการคํานวณครั้งแรก หากคํานวณแล้ว ไม่มีภาษีที่ต้องเสียก็ไม่ต้องหัก ถ้าได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้นําเงินภาษีที่หักและนําส่งไว้แล้ว (ถ้ามี) มาเครดิตออก เหลือเท่าใดจึงหักเป็นเงินภาษีและนําส่งไว้เท่านั้น ถ้ามีการจ่ายค่าตอบแทนในครั้งที่สามและครั้งต่อ ๆ ไป ก็ให้คํานวณตามวิธีดังกล่าวนี้ทุกครั้งไป
(2) กรณีจ่ายค่าตอบแทนที่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ตามข้อ 2.1(2) ให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา และผู้จ่ายเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ต้องคํานวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 12/1(1) ของคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544
(3) กรณีจ่ายค่าตอบแทนให้แก่นายหน้าซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และผู้จ่ายเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ให้ผู้จ่ายหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 12/1(2) ของคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544
ข้อ ๕ บริษัทประกันชีวิตซึ่งได้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือ หัวหน้าตัวแทน และพิสูจน์ได้ว่ารายจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นรายจ่ายเพื่อหากําไรหรือเพื่อ กิจการโดยเฉพาะ และสามารถพิสูจน์ตัวผู้รับได้ ค่าตอบแทนดังกล่าวย่อมนํามาหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิในการคํานวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ตรี (13) และมาตรา 65 ตรี (18) แห่งประมวลรัษฎากร
รายจ่ายค่าตอบแทนที่บริษัทประกันชีวิตได้จ่ายไปเพื่อให้ตัวแทนหรือ นายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับประโยชน์จากรายจ่ายดังกล่าว เช่น รายจ่ายเพื่อให้ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนไปท่องเที่ยวหรือสัมมนาในต่างประเทศ ที่จะเข้าลักษณะเป็นรายจ่ายเพื่อหากําไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะตามวรรคหนึ่ง จะต้องเป็นรายจ่ายที่บริษัทประกันชีวิตได้กําหนดหลักเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจนและมีข้อผูกพันที่จะต้องให้ประโยชน์แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนตามระเบียบหรือข้อกําหนดของบริษัทประกันชีวิตที่ประกาศให้ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนทราบโดยทั่วกัน
ข้อ ๖ ให้นําความในข้อ 1 ถึงข้อ 5 มาใช้บังคับสําหรับผู้มีเงินได้ที่มีเงินได้ลักษณะทํานองเดียวกับตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิต เช่น ตัวแทนประกันวินาศภัย นายหน้าประกันวินาศภัย ตัวกลางค้าข้าว (หยง)
ข้อ ๗ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หนังสือตอบข้อหารือ หรือแนวทางปฏิบัติใดของกรมสรรพากรที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
ข้อ ๘ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,896 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทด. 79/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการยื่นงบการเงินประจำปีและการจัดทำรายงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทด. 79/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการยื่นงบการเงินประจําปี
และการจัดทํารายงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 181 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ยื่นบัญชีและรายงานดังต่อไปนี้ ต่อสํานักงาน ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ได้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ตามมาตรา 178 แล้ว
(1) งบดุล บัญชีรายได้รายจ่ายประจําปี และรายงานของผู้สอบบัญชี
(2) รายงานของประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์
(3) สรุปผลการดําเนินงานประจําปี
(4) งบประมาณและแผนการดําเนินงานในปีต่อไป
(5) รายงานอื่นตามที่สํานักงานกําหนด
ข้อ ๒ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการยื่นงบการเงินประจําปี และการจัดทํารายงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการยื่นงบดุลและบัญชีรายได้รายจ่ายประจําปี ตลอดจนการทํารายงานและจัดส่งเอกสารของตลาดหลักทรัพย์ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการยื่นงบการเงินประจําปี และการจัดทํารายงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,897 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทข. 82/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสำหรับผู้ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทข. 82/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสําหรับ
ผู้ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 41 มาตรา 43 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” หมายความว่า ผู้ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ ๒ ให้ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจัดโครงสร้างองค์กรตลอดจนกําหนดนโยบาย ขอบเขตอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าซึ่งแสดงได้ว่ามีระบบป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และระบบป้องกันการล่วงรู้ข้อมูลระหว่างหน่วยงานและบุคลากร ที่สามารถรองรับการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีมาตรการในการควบคุมและติดตามให้มีการดําเนินงานตามที่กําหนดไว้
ข้อ ๓ ห้ามมิให้ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง อันเป็นการหลอกลวงลูกค้าหรืออาจทําให้ลูกค้าสําคัญผิดในสาระสําคัญเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ ๔ ให้ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตรวจสอบและดูแลให้พนักงานปฏิบัติตามประกาศนี้และระเบียบวิธีปฏิบัติที่ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากําหนดขึ้นเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศนี้
ข้อ ๕ ในกรณีที่ปรากฏต่อสํานักงาน ก.ล.ต. ว่า ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้หรือตามระเบียบวิธีปฏิบัติที่ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากําหนดขึ้นเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศนี้ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการเป็นที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สํานักงาน ก.ล.ต. อาจสั่งให้ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นแก้ไข กระทําการ หรืองดเว้นกระทําการใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามประกาศนี้ก็ได้
ข้อ ๖ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กข. 16/2547 เรื่อง หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสําหรับผู้ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียนที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๗ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กข. 16/2547 เรื่อง หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสําหรับผู้ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2547 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสําหรับผู้ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กข. 16/2547 เรื่อง หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสําหรับผู้ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2547 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,898 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ/น/ข. 85/2552 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ/น/ข. 85/2552
เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 15 และมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 41 มาตรา 43 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) “บุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” หมายความว่า บุคคลซึ่งปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตําแหน่งหรือลักษณะงานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การวิเคราะห์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า การชักชวนหรือให้คําแนะนําเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การบริหารจัดการธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การบริหารจัดการทรัพย์สินของลูกค้าในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือตําแหน่งหรือลักษณะงานอื่นในทํานองเดียวกัน ซึ่งเป็นตําแหน่งหรือลักษณะงานที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน ก.ล.ต. หรือขึ้นทะเบียนกับสํานักงาน ก.ล.ต. หรือจะปฏิบัติงานได้ก็ต่อเมื่อไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนด
(2) “บุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์” หมายความว่า
(ก) บุคคลซึ่งปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของบริษัทหลักทรัพย์หรือเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ในตําแหน่งหรือลักษณะงานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ การชักชวนหรือให้คําแนะนําเกี่ยวกับหลักทรัพย์ การบริหารจัดการธุรกิจหลักทรัพย์ การบริหารจัดการทรัพย์สินของลูกค้าในธุรกิจหลักทรัพย์ หรือตําแหน่งหรือลักษณะงานอื่นในทํานองเดียวกัน ซึ่งเป็นตําแหน่งหรือลักษณะงานที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน ก.ล.ต. หรือขึ้นทะเบียนกับสํานักงาน ก.ล.ต. หรือจะปฏิบัติงานได้ก็ต่อเมื่อไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนด และ
(ข) บุคคลซึ่งเป็นกรรมการหรือบุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการนิติบุคคลที่ทําหน้าที่ในการรับฝากทรัพย์สินหรือดูแลผลประโยชน์ของลูกค้าในธุรกิจหลักทรัพย์ หรือตําแหน่งหรือลักษณะงานอื่นในทํานองเดียวกัน ซึ่งเป็นตําแหน่งหรือลักษณะงานที่ผู้ปฏิบัติงานจะปฏิบัติงานได้ก็ต่อเมื่อไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนด
(3) “สถาบันการเงิน” หมายความว่า สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนหรือสํานักงาน ก.ล.ต. จะมีประกาศเฉพาะกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ข้อ ๓ บุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
(1) เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ บุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(2) เป็นบุคคลที่อยู่ระหว่างถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยห้ามเป็นกรรมการ ผู้บริหาร หรือผู้มีอํานาจควบคุมของบริษัทจดทะเบียน
(3) อยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษหรือถูกดําเนินคดีอาญาโดยหน่วยงานที่มีอํานาจตามกฎหมาย ในความผิดเกี่ยวกับการกระทําอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง ฉ้อฉล หรือทุจริต
(4) อยู่ระหว่างต้องห้ามมิให้เป็นหรือปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ บุคคล ผู้มีอํานาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน
(5) อยู่ระหว่างระยะเวลาที่กําหนดตามคําสั่งของสํานักงาน ก.ล.ต. ให้พัก เพิกถอน หรือห้ามการปฏิบัติงานในตําแหน่งหนึ่งตําแหน่งใดหรือลักษณะงานหนึ่งลักษณะงานใดในการเป็นบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กรรมการของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือสํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์
(6) อยู่ระหว่างระยะเวลาที่กําหนดตามคําสั่งของสํานักงาน ก.ล.ต. ให้ถอนรายชื่อจากระบบข้อมูลรายชื่อกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ หรือปฏิเสธการแสดงรายชื่อในระบบข้อมูลรายชื่อกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์เนื่องจากมีลักษณะต้องห้าม
(7) อยู่ระหว่างระยะเวลาที่กําหนดตามคําสั่งขององค์กรที่มีอํานาจตามกฎหมายต่างประเทศให้พัก เพิกถอน หรือห้ามการปฏิบัติงานในตําแหน่งหนึ่งตําแหน่งใดหรือลักษณะงานหนึ่งลักษณะงานใด ซึ่งเทียบได้กับการเป็นบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กรรมการของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือสํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์
(8) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลผู้มีอํานาจในการจัดการของสถาบันการเงินโดยมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายหรือต้องร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันการเงินดังกล่าว ซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาต ถูกควบคุมกิจการ หรือถูกระงับการดําเนินกิจการเนื่องจากแผนแก้ไขฟื้นฟูฐานะหรือการดําเนินงานไม่ผ่านความเห็นชอบของหน่วยงานที่กํากับดูแลสถาบันการเงินนั้น หรือของคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือถูกสั่งการให้แก้ไขฐานะทางการเงินที่เสียหายด้วยการลดทุนและมีการเพิ่มทุนในภายหลังโดยได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานหรือสถาบันการเงินของรัฐ เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
(9) เคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทําความผิดตาม (3) หรือถูกเปรียบเทียบปรับเนื่องจากการกระทําความผิดตาม (3)
(10) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการประพฤติผิดต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานหรือให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นธรรม ต่อผู้ใช้บริการธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือธุรกิจบริการทางการเงินอื่น หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(11) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการขาดจรรยาบรรณหรือมาตรฐานในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งกําหนดโดยหน่วยงานหรือสมาคมกํากับผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(12) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางไม่สุจริตหรือฉ้อฉลต่อผู้อื่น หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(13) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรมหรือการเอาเปรียบผู้ลงทุน หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(14) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการจงใจแสดงข้อความอันเป็นเท็จในสาระสําคัญหรือปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสําคัญที่ควรบอกให้แจ้งในเอกสารใด ๆ ที่ต้องเปิดเผยต่อประชาชนหรือต้องยื่นต่อสํานักงาน ก.ล.ต. คณะกรรมการกํากับตลาดทุน คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือต่อองค์กรที่มีอํานาจกํากับดูแลสถาบันการเงิน หรือมีหรือเคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทําดังกล่าวของบุคคลอื่น
(15) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เป็นการละเลยการตรวจสอบดูแลตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้นิติบุคคลหรือกิจการที่ตนมีอํานาจในการจัดการ หรือผู้ปฏิบัติงานซึ่งอยู่ภายใต้การตรวจสอบดูแล (ถ้ามี) กระทําการใดหรืองดเว้นกระทําการใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือขัดต่อกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือประกาศที่ออกโดยอาศัยอํานาจแห่งกฎหมายดังกล่าว อันอาจก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยรวม หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง ฐานะ การดําเนินธุรกิจ หรือลูกค้าของธุรกิจนั้น
ข้อ ๔ ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคนใดมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3 สํานักงาน ก.ล.ต. จะไม่ให้ความเห็นชอบ หรือไม่ขึ้นทะเบียน หรือห้ามการปฏิบัติงานในตําแหน่งนั้น เว้นแต่กรณีที่ลักษณะต้องห้ามดังกล่าวเป็นลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3(9) (10) (11) (12) (13) (14) หรือ (15) และข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวรับฟังได้ว่า พฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลนั้น มิใช่กรณีร้ายแรงถึงขนาดที่ไม่สมควรให้บุคคลดังกล่าวปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาแล้วเกินกว่าสิบห้าปีนับถึงวันที่ยื่นคําขอรับความเห็นชอบหรือคําขอขึ้นทะเบียนต่อสํานักงาน ก.ล.ต. หรือนับถึงวันที่เริ่มปฏิบัติงานในตําแหน่งนั้น สํานักงาน ก.ล.ต. จะใช้ดุลพินิจไม่ยกเหตุอันเป็นลักษณะต้องห้ามในกรณีนั้นมาเป็นเหตุในการห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก็ได้ ในการนี้ สํานักงาน ก.ล.ต. จะกําหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่ใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวเป็นการชั่วคราวด้วยก็ได้
ข้อ ๕ ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงในภายหลังว่าบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคนใดมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3 ให้สํานักงาน ก.ล.ต. สั่งพัก เพิกถอน หรือห้ามการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวเป็นระยะเวลาตามที่กําหนด แต่ไม่เกินสิบห้าปีนับแต่วันที่สํานักงาน ก.ล.ต. มีคําสั่ง เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3(9) (10) (11) (12) (13) (14) หรือ (15) ให้สํานักงาน ก.ล.ต. มีอํานาจดําเนินการดังต่อไปนี้
(1) หากพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วเกินกว่าสิบห้าปีนับถึงวันที่ข้อเท็จจริงปรากฏต่อสํานักงาน ก.ล.ต. สํานักงาน ก.ล.ต. จะใช้ดุลพินิจไม่ยกเหตุอันเป็นลักษณะต้องห้ามในกรณีนั้นมาเป็นเหตุในการห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก็ได้ หรือ
(2) หากพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลในกรณีนั้นมิได้มีลักษณะร้ายแรงถึงขนาดที่ไม่สมควรให้บุคคลดังกล่าวปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สํานักงาน ก.ล.ต. จะกําหนดให้บุคคลดังกล่าวยังสามารถปฏิบัติงานเป็นบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่อไปก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ สํานักงาน ก.ล.ต. จะสั่งภาคทัณฑ์บุคคลดังกล่าว หรือกําหนดให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการเรื่องหนึ่งเรื่องใดด้วยก็ได้
ข้อ ๖ เพื่อพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชนหรือเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน ให้สํานักงาน ก.ล.ต.หรือบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายจากสํานักงาน ก.ล.ต. ดําเนินการแจ้งข่าวข้อมูลเกี่ยวกับการสั่งพัก เพิกถอนหรือภาคทัณฑ์บุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่อสาธารณชน หรือจัดข้อมูลดังกล่าวไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้
ข้อ ๗ ในการใช้ดุลพินิจสั่งการตามข้อ 4 หรือข้อ 5 ให้สํานักงาน ก.ล.ต. คํานึงถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลเป็นรายกรณี ทั้งนี้ ปัจจัยที่สํานักงาน ก.ล.ต. สามารถนํามาใช้ประกอบการพิจารณาให้รวมถึง
(1) ขอบเขตของผลกระทบจากพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้าม เช่น กระทบต่อตลาดเงินหรือตลาดทุน กระทบต่อประชาชนโดยรวม หรือกระทบต่อบุคคลเฉพาะราย เป็นต้น
(2) นัยสําคัญของพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้าม เช่น จํานวนเงินที่เกี่ยวข้อง ปริมาณธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
(3) ผู้รับประโยชน์จากผลของพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้าม
(4) ความเกี่ยวข้องของบุคคลต่อพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน เป็นต้น
(5) ความซับซ้อนของลักษณะการกระทําหรือเครื่องมือที่ใช้ในการกระทํา เช่น การใช้ชื่อบุคคลอื่น หรือการตั้งบริษัทอําพราง เป็นต้น
(6) ประวัติพฤติกรรมในอดีต เช่น เป็นพฤติกรรมครั้งแรก หรือเป็นพฤติกรรมที่เกิดซ้ําหรือต่อเนื่อง เป็นต้น
(7) ความตระหนักของผู้กระทําในเรื่องดังกล่าว เช่น จงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นต้น
(8) ข้อเท็จจริงอื่น เช่น การให้ข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาหรือการดําเนินการ การปิดบังอําพรางหรือการทําลายพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง หรือการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ เป็นต้น
ข้อ ๘ เพื่อให้การใช้ดุลพินิจสั่งการของสํานักงาน ก.ล.ต. ตามประกาศนี้มีความชัดเจนและผ่านกระบวนการทบทวนตามสมควร เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงใดที่อาจนําไปสู่การสั่งการที่ไม่เป็นคุณต่อบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคนใด ก่อนที่สํานักงาน ก.ล.ต. จะมีคําวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว สํานักงาน ก.ล.ต. ต้องกําหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งทําหน้าที่พิจารณาข้อเท็จจริงและเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวต่อสํานักงาน ก.ล.ต. ทั้งนี้ ภายใต้กระบวนพิจารณาของคณะกรรมการ
ที่ได้รับมอบหมายจากสํานักงาน ก.ล.ต. ดังกล่าว อย่างน้อยต้องกําหนดให้มีการแจ้งให้บุคคลที่อาจเป็นผู้รับการสั่งการนั้นได้ทราบข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับข้อสงสัยถึงการมีลักษณะต้องห้ามของบุคคลดังกล่าว และแจ้งสิทธิของบุคคลดังกล่าวในการชี้แจงและนําเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อสงสัยนั้น
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับกรณีข้อเท็จจริงที่แสดงถึงการมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3(1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) หรือ (8) หรือกรณีอื่นใดที่สํานักงาน ก.ล.ต. เห็นว่าได้ผ่านกระบวนวิธีพิจารณามาเพียงพอแล้ว
ข้อ ๙ ข้อเท็จจริงใดที่สํานักงาน ก.ล.ต. ได้นํามาใช้ประกอบการพิจารณากําหนดมาตรการทางปกครองตามข้อ 4 หรือข้อ 5 แล้ว สํานักงาน ก.ล.ต. จะนําข้อเท็จจริงดังกล่าวมาสั่งการซ้ําอีกไม่ได้ แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบถึงการใช้เป็นปัจจัยประกอบการเพิ่มระดับหรือการกําหนดประเภทของมาตรการทางปกครองเพราะเหตุที่บุคคลดังกล่าวมีพฤติกรรมอันเป็นลักษณะต้องห้ามขึ้นอีก
ข้อ ๑๐ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ/น/ข. 35/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลงวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2548 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ/น/ข. 35/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2548 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๑๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ในการเปิดเผยข้อมูลของสํานักงาน ก.ล.ต. และหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ/น/ข. 35/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2548 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,899 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 114/2545 เรื่อง การจ่ายเงินตามสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย(Interest rate swap) และสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross currency swap)
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 114/2545
เรื่อง การจ่ายเงินตามสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate swap) และสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตรา
ต่างประเทศ (Cross currency swap)
-----------------------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีการจ่ายเงินตามสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate swap) และสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross currency swap) โดยเหตุที่การจ่ายเงินตามสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยและสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อาจทําให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร หรือมีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate swap) เป็นสัญญาทางการเงินประเภทหนึ่งที่คู่สัญญาตกลงที่จะแลกเปลี่ยนภาระการชําระดอกเบี้ยให้แก่กันและกันภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย โดยจํานวนเงินค่าดอกเบี้ยที่ต้องชําระขึ้นอยู่กับจํานวนเงินต้นอ้างอิงตามที่ระบุไว้ในสัญญา การแลกเปลี่ยนเป็นส่วนที่เกี่ยวกับภาระดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่มีการแลกเปลี่ยนเงินต้นกัน คู่สัญญาซึ่งเข้าทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไม่จําต้องมีการทําสัญญาเงินกู้ระหว่างกัน แต่เมื่อเข้าทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยแล้ว (Interest rate swap) คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมีภาระผูกพันที่จะต้องชําระเงินภายใต้ระยะเวลาและเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในสัญญาแลกเปลี่ยน เงินผลต่างที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
จํานวนเงินต้นอ้างอิงตามวรรคหนึ่ง หมายถึง เงินต้นซึ่งมิใช่จํานวนเงินที่แลกเปลี่ยนกันจริงเมื่อเริ่มทําสัญญาแลกเปลี่ยน เพียงแต่ใช้อ้างอิงเพื่อคํานวณหาจํานวนเงินจากอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
ตัวอย่าง บริษัท ก ทําสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคาร A ในต่างประเทศ กําหนดชําระดอกเบี้ยในอัตราลอยตัว ต่อมาบริษัท ก ได้ทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate swap) กับธนาคาร B ในต่างประเทศ โดยตามสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนั้นจะใช้จํานวนเงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับเดิมเป็นเกณฑ์ในการคํานวณดอกเบี้ยที่จะแลกเปลี่ยนกัน และจะกําหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ตามแต่จะตกลงกัน โดยในแต่ละเดือนนั้น หากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยคงที่ ธนาคาร B จะส่งเงินผลต่างมาให้แก่บริษัท ก แต่หากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวต่ํากว่าอัตราดอกเบี้ยคงที่ บริษัท ก จะส่งเงินผลต่างไปให้แก่ธนาคาร B เงินผลต่างดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร แต่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒ สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross currency swap) เป็นสัญญาทางการเงินประเภทหนึ่งที่คู่สัญญาตกลงที่จะแลกเปลี่ยนภาระการรับจ่ายเงินคนละสกุล ภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งสัญญาจะจ่ายเงินสกุลหนึ่ง เช่น บาท และรับเงินสกุลอื่น เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะรับเงินสกุลบาท และจ่ายเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในวันทําสัญญา คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายอาจมีการแลกเปลี่ยนเงินต้นระหว่างคู่สัญญาในมูลค่าที่เท่ากัน โดยคํานวณจากอัตราแลกเปลี่ยนในวันทําสัญญา สําหรับกรณีที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนเงินต้นระหว่างคู่สัญญา คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอาจนําเงินตราต่างประเทศไปขายให้แก่สถาบันการเงินอื่นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราก็ได้ กรณีดังกล่าว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่มีการจ่ายเงินผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจึงไม่มีเงินได้พึงประเมิน
ตัวอย่าง บริษัท ก ทําสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคาร ข ในประเทศจํานวน 40 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ และบริษัท C ในประเทศสหรัฐอเมริกาทําสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคาร A ในประเทศสหรัฐอเมริกา จํานวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ยคงที่และเพื่อป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน บริษัท ก ได้ทําสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับบริษัท C (Cross currency swap) กรณีอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันทําสัญญา คือ 40 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้สําหรับการคํานวณภายใต้สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนี้ บริษัท C จ่ายเงินจํานวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่บริษัท ก ในขณะที่บริษัท ก จ่ายเงินจํานวน 40 ล้านบาท ให้แก่บริษัท C เมื่อถึงกําหนดเวลาตามข้อตกลง บริษัท ก จะต้องจ่ายเงินจํานวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่บริษัท C ซึ่งบริษัท C จะนําไปจ่ายคืนเงินกู้ยืมให้แก่ธนาคาร A ในขณะที่บริษัท C จะต้องจ่ายเงิน 40 ล้านบาท ให้แก่บริษัท ก ซึ่งบริษัท ก จะนําไปจ่ายคืนเงินกู้ยืมให้แก่ธนาคาร ข กรณีดังกล่าว บริษัท ก และบริษัท C ไม่มีการจ่ายเงินผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนกัน
ข้อ ๓ การทําสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามข้อ 2 อาจมีการทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยควบคู่ไปด้วย เรียกว่า สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ย (Cross currency interest rate swap) ซึ่งคู่สัญญามีภาระต่างตอบแทนในการชําระเงินตามสัญญาแลกเปลี่ยนตลอดอายุของสัญญาแลกเปลี่ยน โดยที่จํานวนเงินที่ต้องชําระจะคํานวณจากผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยตามที่ตกลงกัน ซึ่งอาจเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่และหรืออัตราดอกเบี้ยลอยตัว และเป็นการคํานวณจากเงินตราต่างสกุล เงินผลต่างที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่าง บริษัท ก ทําสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคาร A ในต่างประเทศจํานวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอัตราดอกเบี้ยลอยตัว บริษัท ก ต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อ
ชําระคืนเงินกู้ซึ่งจะถึงกําหนดชําระในอีก 2 ปี ข้างหน้า และต้องการจะเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตามสัญญาเงินกู้เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้น บริษัท ก จึงทําสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ยกับธนาคาร ข ในประเทศ (Cross currency interest rate swap) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจขึ้น อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันทําสัญญา คือ 40 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้สําหรับการคํานวณภายใต้สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนี้ ดังนั้น ธนาคาร ข จ่ายเงิน 40 ล้านบาทให้แก่บริษัท ก ในขณะที่บริษัท ก จ่ายเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่ธนาคาร ข ตลอดระยะเวลาของสัญญาแลกเปลี่ยน ธนาคาร ข คํานวณดอกเบี้ยจากเงินต้นจํานวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่บริษัท ก คํานวณดอกเบี้ยจากเงินต้นจํานวน 40 ล้านบาท หากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยคงที่ ธนาคาร ข จะส่งเงินผลต่างมาให้แก่บริษัท ก แต่หากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวต่ํากว่าอัตราดอกเบี้ยคงที่ บริษัท ก จะส่งเงินผลต่างไปให้แก่ธนาคาร ข เงินผลต่างดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร แต่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๔ กรณีการทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate swap) สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross currency swap) หรือสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ย (Cross currency interest rate swap) ตามข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ซึ่งคู่สัญญาผู้รับทําสัญญาแลกเปลี่ยนเป็นผู้ให้กู้ยืมเงินด้วย หากมีพฤติการณ์ที่แสดงว่า คู่สัญญามีเจตนากู้ยืมเงินกัน แต่ตกลงทําสัญญาแลกเปลี่ยนเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งเพียงเพื่อเปลี่ยนแปลงผลตอบแทนปกติที่คู่สัญญาผู้ให้กู้ยืมเงินพึงจะได้รับตามสัญญากู้ยืมเงิน ให้เป็นผลตอบแทนที่ได้รับจากสัญญาแลกเปลี่ยนแทน โดยมิได้มีเจตนาป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ย เงินผลต่างที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ยซึ่งคู่สัญญาผู้รับทําสัญญาแลกเปลี่ยนได้รับ จะถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากรที่ ป.136/2551 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป )
ข้อ ๕ กรณีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดนัดชําระเงินผลต่างที่เกิดจากการทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate swap) สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ(Cross currency swap) และสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ย (Cross currency interest rate swap) ซึ่งคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกร้องให้ชําระเงินผลต่างพร้อมดอกเบี้ย หรือค่าปรับ เงินดอกเบี้ยหรือค่าปรับเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๖ กรณีการทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate swap) สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross currency swap) หรือสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ย (Cross currency interest rate swap) ตามข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ซึ่งเป็นผลทําให้คู่สัญญาจ่ายเงินผลต่างที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ย เงินผลต่างดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้จากการให้บริการ คู่สัญญาซึ่งจ่ายเงินผลต่างจึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
กรณีการทําสัญญาแลกเปลี่ยนตามวรรคหนึ่ง มีการเรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมในการทําสัญญาแลกเปลี่ยน ผู้จ่ายเงินค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมดังกล่าวมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามข้อ 12/1 ของคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2544
ข้อ ๗ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง หนังสือตอบข้อหารือ หรือแนวทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
(นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,900 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทข. 86/2552 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นบุคคลธรรมดา
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทข. 86/2552
เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ที่เป็นบุคคลธรรมดา
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 23(3) แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 41 มาตรา 43 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” หมายความว่า บุคคลธรรมดาซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ ๒ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่มีประวัติเสียหายหรือดําเนินกิจการใดที่มีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบหรือความรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพตามที่กําหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยอนุโลม
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กข. 36/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นบุคคลธรรมดา ลงวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2548 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้จนกว่าจะมีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดที่อ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กข. 36/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นบุคคลธรรมดา ลงวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2548 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นบุคคลธรรมดา เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กข. 36/2548 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นบุคคลธรรมดา ลงวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2548 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,901 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 88/2552 เรื่อง การเปิดทำการและหยุดทำการของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 88/2552
เรื่อง การเปิดทําการและหยุดทําการของผู้ประกอบธุรกิจ
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 41 มาตรา 43 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” หมายความว่า นิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนหรือได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ ๒ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องเปิดทําการตามเวลาและหยุดทําการตามวันที่สํานักงาน ก.ล.ต. กําหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสํานักงาน ก.ล.ต. ให้เปิดทําการหรือหยุดทําการในเวลาหรือวันอื่น
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการเปิดทําการและหยุดทําการของ
(1) สํานักงานในต่างประเทศของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งตามกฎหมายต่างประเทศ
(2) ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของหน่วยงานอื่น
ข้อ ๓ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 9/2549 เรื่อง การเปิดทําการและหยุดทําการของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 9/2549 เรื่อง การเปิดทําการและหยุดทําการของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2549 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติ เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 9/2549 เรื่อง การเปิดทําการและหยุดทําการของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2549 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,902 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 113/2545 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กรณีการกำหนดราคาโอนให้เป็นไปตามราคาตลาด
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 113/2545
เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กรณีการกําหนดราคาโอนให้เป็นไปตามราคาตลาด
-------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําผู้เสียภาษีในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการกําหนดราคาโอนให้เป็นไปตามราคาตลาด กรมสรรพากรจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศตามมาตรา 66 และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร โดยนํารายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทําในรอบระยะเวลาบัญชี หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ในการคํานวณรายได้และรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้เกณฑ์สิทธิ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะต้องนํารายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด แม้จะยังไม่ได้ รับชําระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคํานวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น และให้นํา รายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้น แม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคํานวณเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อ 1 กระทําธุรกรรมกับคู่สัญญาของตนโดยไม่มีรายได้ตอบแทนหรือมีรายได้ตอบแทนต่ํากว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อ 1 กระทําธุรกรรมกับคู่สัญญาของตนโดยมีรายจ่ายสูงกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร ถ้าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไม่ได้ปรับปรุงรายได้หรือรายจ่ายให้เป็นไปตามราคาตลาดเพื่อเสียภาษีเงินได้ ให้เจ้าพนักงานประเมินทําการประเมิน รายได้หรือรายจ่ายให้เป็นไปตามราคาตลาด
คําว่า “ราคาตลาด” ตามวรรคหนึ่งหมายความว่า ราคาของค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ย ซึ่งคู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกันพึงกําหนดโดยสุจริตในทางการค้า กรณีโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงินที่มีลักษณะ ประเภท และชนิดเช่นเดียวกัน ณ วันที่โอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงิน
คําว่า “คู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกัน” หมายความว่า คู่สัญญาที่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในการจัดการ การควบคุม หรือร่วมทุน โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
ข้อ ๓ ในการคํานวณรายได้หรือรายจ่าย เพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดให้ถือปฏิบัติโดยเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) วิธีเปรียบเทียบกับราคาที่มิได้มีการควบคุม (Comparable Uncontrolled Price Method) โดยให้ทําการเปรียบเทียบกับค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยที่เรียกเก็บใน ทางการค้าระหว่างคู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกันกรณีโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงินที่มีประเภทและชนิดเดียวกันและอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน
(2) วิธีราคาขายต่อ (Resale Price Method) โดยให้นําค่าตอบแทนในการโอนทรัพย์สินหรือค่าบริการซึ่งผู้ซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขายได้ขายต่อให้แก่บุคคลอื่นซึ่งเป็นคู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกันหักออกด้วยจํานวนกําไรขั้นต้นที่เหมาะสม
จํานวนกําไรขั้นต้นที่เหมาะสมให้คํานวณจากการคูณราคาขายต่อของทรัพย์สินหรือบริการดังกล่าวด้วยอัตรากําไรขั้นต้นที่เกิดจากการโอนทรัพย์สินหรือให้บริการในลักษณะ หรือประเภท หรือชนิดเดียวกันให้แก่คู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกัน
ตัวอย่าง
บริษัท ก. ขายสินค้าให้แก่บริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทในเครือในราคา 50 บาท บริษัท A ขายสินค้านั้นต่อให้แก่บริษัท B ซึ่งเป็นบริษัททั่วไปในราคา 90 บาท ทั้งนี้ สมมุติให้อัตรากําไรขั้นต้นที่ขายให้แก่คู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกันในตลาดที่ขายสินค้าชนิดเดียวกันนั้น คือ 20% ของราคาขายต่อราคาตลาดที่บริษัท ก. ขายสินค้าให้แก่บริษัท A คํานวณได้โดย
ราคาสินค้าขายต่อให้แก่บริษัททั่วไป = 90 บาท
หัก กําไรขั้นต้น (90 x 20%) = 18 บาท
ราคาตลาด = 72 บาท
(3) วิธีราคาทุนบวกกําไรส่วนเพิ่ม (Cost Plus Method) โดยให้นําต้นทุนของทรัพย์สินหรือบริการที่ขายให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการบวกด้วยจํานวนกําไรขั้นต้นที่เหมาะสม
จํานวนกําไรขั้นต้นที่เหมาะสมให้คํานวณจากการคูณต้นทุนของทรัพย์สินหรือบริการดังกล่าวด้วยอัตรากําไรขั้นต้นที่เกิดจากการโอนทรัพย์สินหรือให้บริการในลักษณะ หรือประเภท หรือชนิดเดียวกันให้แก่คู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกัน
ตัวอย่าง
บริษัท ก. ขายสินค้าให้แก่บริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทในเครือในราคา 75 บาท ต้นทุนสินค้าขายคือ 50 บาท บริษัท ข. ขายสินค้าชนิดเดียวกันให้แก่บริษัท B ซึ่งเป็นบริษัททั่วไปในราคา 100 บาท ต้นทุนสินค้าขายคือ 60 บาท ดังนั้น อัตรากําไรขั้นต้นที่ขายให้แก่คู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกัน คือ 40% ของราคาขายหรือ 66.67% ของต้นทุนสินค้า (40/60)
ราคาตลาดที่บริษัท ก. ขายสินค้าให้แก่บริษัท A คํานวณได้โดยต้นทุนสินค้าขายให้แก่บริษัทในเครือ = 50 บาท
บวก กําไรขั้นต้น (50 x 66.67%) = 33.34 บาท
ราคาตลาด = 83.34 บาท
(4) วิธีอื่น (Other Methods) หากวิธีตาม (1) (2) และ (3) ไม่อาจนํามา ใช้ในการคํานวณรายได้หรือรายจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดของค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือ ดอกเบี้ย ให้ใช้วิธีอื่นซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับรองโดยสากลและมีความเหมาะสมตามสภาพข้อเท็จจริงในทางการค้าที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงินนั้น
ข้อ ๔ ในการตรวจสอบภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินสําหรับวิธีคํานวณ รายได้หรือรายจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดตามข้อ 3 ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม ข้อ 1 ให้เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทําขึ้นจริงในแต่ละขั้นตอนของการกระทําธุรกรรมและเก็บรักษาไว้ ณ สํานักงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
(1) เอกสารแสดงโครงสร้างและความสัมพันธ์ของกิจการในกลุ่มเดียวกัน รวมทั้งโครงสร้างและลักษณะของการประกอบธุรกิจของแต่ละกิจการ
(2) งบประมาณ แผนงานทางธุรกิจ และประมาณการทางการเงิน
(3) เอกสารแสดงกลยุทธ์ทางธุรกิจของผู้เสียภาษี และเหตุผลในการใช้ กลยุทธ์ดังกล่าว
(4) เอกสารแสดงยอดขาย ผลประกอบการของผู้เสียภาษีและลักษณะของธุรกรรมที่ทํากับกิจการในกลุ่มเดียวกัน
(5) เอกสารแสดงเหตุผลในการจัดทําธุรกรรมระหว่างประเทศที่ทํากับกิจการในกลุ่มเดียวกัน
(6) นโยบายการกําหนดราคา ความสามารถในการทํากําไรของแต่ละผลิตภัณฑ์และข้อมูลทางการตลาด รวมทั้งส่วนแบ่งกําไรของแต่ละกิจการ โดยต้องคํานึงถึงหน้าที่งาน ทรัพย์สิน และความเสี่ยงของแต่ละกิจการที่เกี่ยวข้อง
(7) เอกสารแสดงเหตุผลในการเลือกวิธีกําหนดราคา
(8) กรณีที่อาจเลือกวิธีกําหนดราคาได้หลายวิธี ให้มีเอกสารแสดง รายละเอียดวิธีอื่น ๆ นอกเหนือจากวิธีตาม (7) และเหตุผลที่ไม่เลือกวิธีดังกล่าว โดยต้องเป็นเอกสารที่จัดทําขึ้นในขณะเดียวกันกับการตัดสินใจเลือกวิธีตาม (7)
(9) เอกสารที่ใช้เป็นหลักฐานแสดงหลักการพื้นฐานและท่าทีในการเจรจาของผู้เสียภาษีสําหรับธุรกรรมที่ทํากับกิจการในกลุ่มเดียวกัน
(10) เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดราคา (ถ้ามี)
คําว่า“กิจการในกลุ่มเดียวกัน” ตามวรรคหนึ่งหมายความว่า กิจการในกลุ่มบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในการจัดการ การควบคุม หรือร่วมทุน โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อ 1 ได้จัดทําเอกสารหลักฐานตามวรรคหนึ่ง โดยมีรายละเอียดเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่า วิธีคํานวณรายได้หรือรายจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดตามข้อ 3 ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นวิธีที่เหมาะสมถูกต้อง ให้เจ้าพนักงานประเมินถือปฏิบัติตามวิธีคํานวณรายได้หรือรายจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดของบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
ข้อ ๕ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อ 1 ประสงค์จะทําข้อตกลงการกําหนดราคาเป็นการล่วงหน้ากับกรมสรรพากรสําหรับการกระทําธุรกรรมใดที่ทํากับคู่สัญญาของตน ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นคําขอจัดทําข้อตกลงการกําหนดราคาเป็นหนังสือพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องต่ออธิบดีกรมสรรพากร เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องดําเนินการตามข้อตกลงการกําหนดราคา
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,903 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทด. 89/2552 เรื่อง กำหนดคุณสมบัติของกรรมการอุทธรณ์และระบบการพิจารณา อุทธรณ์คำสั่งลงโทษสมาชิกของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทด. 89/2552
เรื่อง กําหนดคุณสมบัติของกรรมการอุทธรณ์และระบบการพิจารณา
อุทธรณ์คําสั่งลงโทษสมาชิกของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 58 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 41 มาตรา 43 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ศูนย์ซื้อขายสัญญา” หมายความว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการเป็นศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
“คําสั่งลงโทษ” หมายความว่า คําสั่งที่ออกโดยผู้มีอํานาจในการออกคําสั่งตามกฎเกณฑ์ของศูนย์ซื้อขายสัญญาซึ่งมีผลเป็นการลงโทษทางวินัยต่อสมาชิกของศูนย์ซื้อขายสัญญา
ข้อ ๒ ในการพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งลงโทษ ให้คณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาแต่งตั้งคณะกรรมการอุทธรณ์ขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจํานวนไม่น้อยกว่าสามคนแต่ไม่เกินห้าคน โดยในจํานวนนี้อย่างน้อยต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์สูงด้านกฎหมายและด้านธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้านละหนึ่งคน เพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับคําอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญา
ให้คณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาแต่งตั้งกรรมการอุทธรณ์คนหนึ่งเป็นประธานกรรมการอุทธรณ์
กรรมการอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งต้องไม่เป็นบุคคลเดียวกับผู้ออกคําสั่งลงโทษและต้องไม่มีประวัติเสียหายหรือดําเนินกิจการใดที่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบหรือความรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพในลักษณะเดียวกับกรรมการของศูนย์ซื้อขายสัญญา
ข้อ ๓ การประชุมของคณะกรรมการอุทธรณ์ ต้องมีกรรมการอุทธรณ์มาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการอุทธรณ์ทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมของคณะกรรมการอุทธรณ์ ถ้าประธานกรรมการอุทธรณ์ไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้ามีรองประธานให้รองประธานทําหน้าที่ประธานในที่ประชุม ถ้าไม่มีรองประธานหรือมีแต่ไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการอุทธรณ์ที่มาประชุมเลือกกรรมการอุทธรณ์คนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการอุทธรณ์คนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ข้อ ๔ กรรมการอุทธรณ์ซึ่งคณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาแต่งตั้งคนใดมีส่วนได้เสียใด ๆ ในเรื่องที่พิจารณา ห้ามมิให้เข้าร่วมพิจารณาในเรื่องนั้น
ข้อ ๕ ศูนย์ซื้อขายสัญญาต้องจัดให้มีระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการยื่นอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยระเบียบปฏิบัติดังกล่าวต้องมีขั้นตอนที่รวดเร็วและให้ความเป็นธรรมแก่สมาชิกซึ่งอย่างน้อยต้อง
(1) เปิดโอกาสให้สมาชิกที่ถูกลงโทษสามารถอุทธรณ์คําสั่งลงโทษต่อคณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาโดยยื่นอุทธรณ์ผ่านคณะกรรมการอุทธรณ์ได้ และต้องกําหนดระยะเวลาในการอุทธรณ์ไว้ไม่น้อยกว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่สมาชิกดังกล่าวได้รับแจ้งคําสั่งลงโทษนั้น แต่การยื่นอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคําสั่งลงโทษ
(2) กําหนดให้คณะกรรมการอุทธรณ์ต้องพิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์
(3) กําหนดให้คณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาพิจารณาสั่งการเกี่ยวกับคําอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานความเห็นของคณะกรรมการอุทธรณ์ เว้นแต่กรณีมีเหตุจําเป็นไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้อีกไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกําหนดระยะเวลาดังกล่าว หากคณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาสั่งการต่างไปจากความเห็นของคณะกรรมการอุทธรณ์ ให้คณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาให้เหตุผลประกอบการสั่งการนั้นด้วย
(4) เปิดโอกาสให้ผู้อุทธรณ์ยื่นคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งลงโทษต่อคณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาผ่านคณะกรรมการอุทธรณ์พร้อมกับการยื่นอุทธรณ์ได้ โดยกําหนดให้ผู้อุทธรณ์แสดงเหตุผลความจําเป็นที่ต้องขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งลงโทษนั้น
(5) กําหนดให้คณะกรรมการอุทธรณ์และคณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาพิจารณาคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งลงโทษเป็นการด่วน และหากพิจารณาเห็นว่ากรณีเป็นเรื่องที่มีความจําเป็นเร่งด่วนและคําขอนั้นมีเหตุผลอันสมควร ให้คณะกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญามีคําสั่งตามที่เห็นสมควรโดยจะกําหนดเงื่อนไขใด ๆ ตามที่จําเป็นด้วยก็ได้
(6) กําหนดให้ศูนย์ซื้อขายสัญญามีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาสั่งการเกี่ยวกับคําอุทธรณ์และคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งลงโทษพร้อมเหตุผลให้ผู้อุทธรณ์และสํานักงาน ก.ล.ต. ทราบโดยไม่ชักช้า
ข้อ ๖ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กย. 57/2547 เรื่อง กําหนดคุณสมบัติของกรรมการอุทธรณ์และระบบการพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งลงโทษสมาชิกของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๗ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กย. 57/2547 เรื่อง กําหนดคุณสมบัติของกรรมการอุทธรณ์และระบบการพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งลงโทษสมาชิกของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์ให้ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติเกี่ยวกับระบบการพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งลงโทษสมาชิก เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กย. 57/2547 เรื่อง กําหนดคุณสมบัติของกรรมการอุทธรณ์และระบบการพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งลงโทษสมาชิกของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,904 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 112/2545 เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการของธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 112/2545
เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการของธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัท
ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนํา เกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการของธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามข้อ 12/1 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544 กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นค่าบริการให้กับธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ โดยเป็นการจ่ายค่าบริการที่ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาระยะยาว หากค่าบริการที่ให้บริการ (Transaction) ในแต่ละครั้ง มีจํานวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท ผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่หากค่าบริการในแต่ละครั้ง มีจํานวนตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการ
ค่าบริการที่ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาระยะยาวตามวรรคหนึ่ง หมายถึงค่าบริการที่คู่สัญญาสามารถคํานวณค่าบริการที่ได้รับทั้งสิ้นเป็นจํานวนที่แน่นอนได้ในการทําสัญญารายหนึ่ง ๆ หรือครั้งหนึ่ง ๆ ตัวอย่างเช่น
(1) ค่าธรรมเนียมดาร์ฟ
(2) ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินทางโทรเลข ทางไปรษณีย์ และทางโทรศัพท์ หรือทางคอมพิวเตอร์
(3) ค่าธรรมเนียมในการออกตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ําประกันตั๋วเงิน
(4) ค่าธรรมเนียมในการออกตั๋วเงินภายในประเทศ และตั๋วเงินในต่างประเทศ
(5) ค่าธรรมเนียมค้ําประกันเลตเตอร์ออฟเครดิต
(6) ค่าธรรมเนียมในการคืนเช็ค
(7) ค่าธรรมเนียมในการตรวจสภาพหลักทรัพย์
(8) ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินต่างประเทศเข้าบัญชีผู้รับโอน
(9) ค่าธรรมเนียมเคาน์เตอร์เช็ค
(10) ค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บเงินตามเช็ค
(11) ค่าธรรมเนียมเช็คของขวัญ
(12) ค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือค้ําประกันลูกค้า
(13) ค่าให้บริการใช้โทรศัพท์
(14) ค่าใช้คู่สายแต่ละครั้ง
(15) ค่าใช้จ่ายยกเลิกตั๋วเงิน
(16) ค่าธรรมเนียมจากการที่ลูกค้านําตั๋วแลกเงินจากต่างประเทศมาแลกกับธนาคาร
(17) ค่าบริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ
(18) ค่าบริการจําหน่ายหลักทรัพย์
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จ่ายค่าบริการ ตามข้อ 1 ให้กับธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ซึ่งแต่ละสัญญา หรือรายการที่ให้บริการ (Transaction) ในแต่ละครั้งมีจํานวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท หากการจ่ายเงินหลาย ๆ สัญญาดังกล่าว หรือหลาย ๆ รายการที่ให้บริการ (Transaction) รวมกันเป็นจํานวนตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ธนาคาร ก. จํากัด (มหาชน) ได้ออกใบแจ้งหนี้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัท ข. จํากัด ประกอบด้วย ค่าใช้คู่สาย 700 บาท ค่าใช้จ่ายยกเลิกตั๋วเงิน 800 บาท ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินทางโทรเลข 1,900 บาท ค่าธรรมเนียมในการค้ําประกันเลตเตอร์ออฟเครดิต 1,400 บาท และค่าธรรมเนียมในการคืนเช็ค 200 บาท หากบริษัท ข. จํากัด จ่ายค่าบริการรวมทั้งสิ้น 5,000 บาท บริษัท ข. จํากัด มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการจํานวน 5,000 บาท
ข้อ ๓ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ได้ทําสัญญา รายหนึ่ง ๆ หรือครั้งหนึ่ง ๆ กับธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ โดยมีการตกลงจ่ายค่าบริการตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป แม้จะแบ่งจ่ายหลายครั้ง ครั้งละไม่ถึงหนึ่งพันบาท บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการ ตัวอย่างเช่น บริษัท ข.จํากัด ทําสัญญาใช้ตู้นิรภัยของธนาคาร ก. จํากัด (มหาชน) เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยชําระค่าบริการเป็นรายเดือนเดือนละ 900 บาท กรณีดังกล่าว แม้ว่าบริษัท ข. จํากัด จะชําระค่าบริการในเดือนหนึ่ง ๆ ไม่ถึงหนึ่งพันบาทก็ตาม แต่โดยที่สัญญาให้บริการมีระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเมื่อรวมค่าบริการตลอดอายุสัญญาแล้วเป็นจํานวนตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป ดังนั้น เมื่อบริษัท ข. จํากัด ชําระค่าบริการเดือนละ 900 บาท บริษัท ข. จํากัด มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการจํานวน 900 บาท
ข้อ ๔ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จ่ายเงินได้พึง ประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นค่าบริการให้กับธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ โดยเป็นการจ่ายค่าบริการที่เข้าลักษณะเป็นสัญญาระยะยาว หากการจ่ายค่าบริการไม่ถึงหนึ่งพันบาท ผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่หากการจ่ายค่าบริการในครั้งต่อไปซึ่งเมื่อนําไปรวมกับค่าบริการครั้งที่ผ่านมาที่มีการจ่ายไปแล้วเป็นจํานวนตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการ โดยจะต้องนําเงินค่าบริการที่จ่ายในครั้งก่อน ๆ มารวมคํานวณเพื่อหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายด้วย
ค่าบริการที่เข้าลักษณะเป็นสัญญาระยะยาวตามวรรคหนึ่ง หมายถึงค่าบริการที่คู่สัญญาไม่สามารถคํานวณค่าบริการที่ได้รับทั้งสิ้นเป็นจํานวนที่แน่นอนได้ในการทําสัญญารายหนึ่ง ๆ หรือครั้งหนึ่ง ๆ ตัวอย่างเช่น
(1) ค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรเอทีเอ็ม
(2) ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินระหว่างบัญชีออมทรัพย์เข้าบัญชีกระแสรายวัน
(3) ค่าธรรมเนียมรักษาบัญชีกระแสรายวัน
(4) ค่าธรรมเนียมบริการชําระค่าโทรศัพท์
(5) ค่าคู่สายที่ใช้ในการออนไลน์บัตรเอทีเอ็มระหว่างจังหวัด
(6) ค่าคู่สายที่ใช้ในการออนไลน์บัตรเอทีเอ็มที่เรียกเก็บจากธนาคารอื่น
(7) ค่าธรรมเนียมรักษาสภาพบัญชี
(8) ค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิต
(9) ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินเดือนของพนักงานเข้าบัญชีธนาคารของพนักงาน
(10) ค่าธรรมเนียมการให้บริการโอนเงินรายย่อยทางอิเล็กทรอนิกส์ (Media Clearing)
(11) ค่าธรรมเนียมจากการให้บริการผ่านระบบ BAHTNET
ข้อ ๕ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จ่ายค่าบริการ ตามข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 4 ให้กับธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงินหรือไม่ก็ตาม ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการจ่ายเงิน โดยมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่ธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
กรณีการจ่ายค่าบริการผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงิน ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงิน ซึ่งการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย จะต้องระบุวัน เดือน หรือปีภาษีที่จ่ายเงินได้ เป็นวันเดียวกันกับวันที่มีการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงิน
กรณีมีการจ่ายค่าบริการตามวรรคหนึ่งในแต่ละเดือนเป็นจํานวนหลายคราว ทําให้ผู้จ่ายเงินไม่สามารถหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด เพื่อเป็นการลดภาระการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้จ่ายเงินซึ่งมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย สําหรับการจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการต่าง ๆ ในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยสามารถออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หนึ่งครั้งต่อเดือน แต่ผู้จ่ายเงินยังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 50 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร และมีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ข้อ ๖ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จ่ายค่าบริการ ตามข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 4 ให้กับธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ โดยเป็นการจ่ายผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงิน และผู้จ่ายเงินมีความประสงค์แต่งตั้งให้ธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนผู้จ่ายเงิน พร้อมทั้งยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และชําระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงิน ก็สามารถกระทําได้ โดยจะต้องจัดทําสัญญาการตั้งตัวแทนและมอบอํานาจให้กระทําการแทนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ ธนาคารหรือบริษัทซึ่งเป็นตัวแทนจะต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายในนามของผู้จ่ายเงิน และต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของผู้จ่ายเงิน
ธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตาม กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามวรรคหนึ่ง สามารถเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการได้ ซึ่งธนาคารหรือบริษัทในฐานะเป็นตัวแทนต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของผู้จ่ายเงิน โดยให้ดําเนินการตามข้อ 7
ข้อ ๗ กรณีธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามข้อ 6 ได้มีหนังสือแจ้งไปยังบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นคู่สัญญาเดิม โดยมีสาระสําคัญว่า ธนาคารหรือบริษัทผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจะเป็นผู้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสําหรับค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการแทน ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทน และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแทน โดยกําหนดระยะเวลาให้ผู้จ่ายเงินตอบรับ เมื่อผู้จ่ายเงินตอบรับแล้ว ถือว่าหนังสือแจ้งดังกล่าวเป็นข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรแต่งตั้งให้ธนาคารหรือบริษัทเป็นตัวแทนแล้ว
กรณีธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตาม กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามข้อ 6 ได้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินแล้ว ผู้จ่ายเงินไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย สําหรับการจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งทําให้ธนาคารหรือบริษัทซึ่งเป็นตัวแทนไม่จําต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นรายฉบับทุกครั้งที่จ่ายเงิน แต่ทั้งนี้ ธนาคารหรือบริษัทต้องจัดทํารายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เพื่อเป็นหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย และเมื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินแล้ว ธนาคารหรือบริษัทจะต้องระบุข้อความเพิ่มเติมในใบกํากับภาษีของค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ โดยมีสาระสําคัญว่า ธนาคารหรือบริษัทได้ดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 เป็นจํานวนเงิน ... บาท แทนผู้จ่ายเงินแล้ว และจะดําเนินการนําส่งภาษีดังกล่าวต่อกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ซึ่งธนาคารหรือบริษัทจะต้องจัดให้มีการ SCAN หรือพิมพ์ลายมือชื่อผู้รับมอบอํานาจในใบกํากับภาษีดังกล่าวด้วย
รายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามวรรคสอง สามารถจัดทําเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ แต่จะต้องมีรายการอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(1) คําว่า“รายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายประจําเดือน...พ.ศ. ....” ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด
(2) ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของธนาคารหรือบริษัทผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยมีข้อความว่า “ในฐานะผู้กระทําการแทนผู้จ่ายเงินได้ตามรายชื่อที่ระบุไว้ในเอกสารนี้”
(3) ประเภทเงินได้ เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิต หรือค่าธรรมเนียมในการโอนเงินทางโทรเลข
(4) ชื่อ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้จ่ายเงิน ซึ่งเป็นตัวการหลายตัวการ จํานวนเงินที่จ่าย และจํานวนภาษีที่หักไว้
(5) ลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย
ข้อ ๘ กรณีธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตาม กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามข้อ 6 ได้ยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53 ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการ ธนาคารหรือบริษัทจะต้องระบุในช่องผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายว่า ธนาคารหรือบริษัทในฐานะผู้กระทําการแทนผู้จ่ายเงินในใบแนบ ภ.ง.ด.53 พร้อมทั้งแนบรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามข้อ 7 วรรคสามด้วย ซึ่งเอกสารรายละเอียดดังกล่าวถือเป็นใบต่อแบบ ภ.ง.ด.53 โดยธนาคารหรือบริษัทจะต้องเขียนข้อความว่า “ ใบต่อแบบ ภ.ง.ด.53 ” ไว้ในเอกสารรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด ธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตาม
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ตามวรรคหนึ่ง ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการ สามารถใช้เอกสารรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามข้อ 7 วรรคสาม เป็นบัญชีพิเศษแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่ายและการนําส่งภาษีได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 17 แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 7 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้และภาษีการค้า (ฉบับที่ 4) เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้หรือภาษีการค้า ณ ที่จ่าย มีบัญชีพิเศษ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
ข้อ ๙ ธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตาม กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามข้อ 6 ในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อดําเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แทนผู้จ่ายเงินตัวการหลายตัวการ สามารถใช้สําเนาแบบ ภ.ง.ด.53 และหลักฐานใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรที่รับชําระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นหลักฐานในการเครดิตภาษีตามมาตรา 60 แห่งประมวลรัษฎากรได้
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,905 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทด. 94/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการประกอบการเป็นสำนักหักบัญชีและศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทด. 94/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการประกอบการเป็น
สํานักหักบัญชีและศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 มาตรา 223/3 และมาตรา 228 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 223 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป
เว้นแต่ข้อ 30 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
(1) “บริษัทใหญ่” หมายความว่า
(ก) นิติบุคคลที่ถือหุ้นในสํานักหักบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(ข) นิติบุคคลที่ถือหุ้นในนิติบุคคลตาม (ก) ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น
(2) “ผู้รับประโยชน์จากหุ้น” หมายความว่า ผู้ซึ่งมีอํานาจโดยทางตรงหรือทางอ้อมในลักษณะดังต่อไปนี้
(ก) อํานาจกําหนดหรือควบคุมการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนในกิจการ
(ข) อํานาจกําหนดหรือควบคุมการได้มา จําหน่าย หรือก่อภาระผูกพันในหุ้น
(3) “ผู้บริหาร” หมายความว่า กรรมการบริหาร ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อํานวยการฝ่าย หรือผู้ซึ่งดํารงตําแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น และให้หมายความรวมถึงบุคคล
ที่ได้ทําสัญญาให้มีอํานาจทั้งหมดหรือบางส่วนในการจัดการด้วย
(4) “ศูนย์ซื้อขายสัญญา” หมายความว่า ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(5) “สํานักหักบัญชีสัญญา” หมายความว่า สํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หมวด ๑ หลักเกณฑ์ในการประกอบการเป็นสํานักหักบัญชี
ข้อ ๓ สํานักหักบัญชีต้องมีแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการประกอบกิจการและความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการประกอบการเป็นสํานักหักบัญชีไม่น้อยกว่าห้าร้อยล้านบาทโดยอาจประกอบด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นของสํานักหักบัญชี ทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีได้รับมาหรือมีไว้เพื่อเป็นประกันการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์และความมั่นคงของระบบการซื้อขายและการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ หรือข้อผูกพันเป็นลายลักษณ์อักษรและสามารถบังคับได้ตามกฎหมายจากบริษัทใหญ่ในการให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่สํานักหักบัญชี โดยบริษัทใหญ่ต้องกันทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องและมีความเสี่ยงต่ําไว้เพื่อการปฏิบัติตามข้อผูกพันดังกล่าว (explicit guarantee)
เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาความเพียงพอของแหล่งเงินทุนตามวรรคหนึ่ง สํานักหักบัญชีต้องทําการประเมินค่าความเสี่ยงสูงสุด (stress test) อย่างน้อยทุกไตรมาส และรายงานผลการประเมินดังกล่าวให้สํานักงานทราบทุกครั้ง
ข้อ ๔ ในการให้บริการระบบการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ สํานักหักบัญชีต้องมีระบบที่สามารถให้ความมั่นใจว่าจะมีการปฏิบัติการชําระหนี้ตามสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ โดยสํานักหักบัญชีต้องเข้าผูกพันหรือแทนที่เป็นคู่สัญญากับผู้ซื้อและผู้ขายหลักทรัพย์ในทันทีที่ตลาดหลักทรัพย์แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่สํานักหักบัญชีภายหลังจากที่เกิดรายการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และสํานักหักบัญชีหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะยกเลิก แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงรายการมิได้
ข้อ ๕ สํานักหักบัญชีต้องกําหนดระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ที่ชัดเจนเพื่อให้การชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอย่างน้อยต้อง
(1) ประมวลผลการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อแจ้งยอดสุทธิของการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้แก่สมาชิก
(2) กําหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์
(3) กําหนดขั้นตอนและวิธีการดําเนินการเมื่อมีการผิดนัดชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์
ข้อ ๖ สํานักหักบัญชีต้องมีมาตรการบริหารและติดตามความเสี่ยงเกี่ยวกับการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ โดยอย่างน้อยต้อง
(1) มีข้อกําหนดในการวางหรือเรียกหลักประกันหรือทรัพย์สินจากสมาชิกเพื่อเป็นประกันการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์และความมั่นคงของระบบการซื้อขายและการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ของสํานักหักบัญชี โดยต้องพิจารณาเรียกเก็บตามความเสี่ยงของสมาชิกแต่ละรายที่มีต่อระบบการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ ความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ที่ซื้อขาย และความมั่นคงทางการเงินของสมาชิก
(2) กําหนดให้สมาชิกวางหลักประกันหรือทรัพย์สินตาม (1) ในรูปของเงินสด หรือทรัพย์สินอื่นตามระเบียบหรือข้อบังคับที่สํานักหักบัญชีกําหนด
(3) กําหนดเหตุและลําดับการใช้หลักประกันหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากสมาชิก รวมทั้งแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ของสํานักหักบัญชีเพื่อรองรับความเสียหายที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นกับระบบการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์
(4) จัดให้มีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเพื่อทําหน้าที่กําหนดนโยบายในการบริหารจัดการความเสี่ยงและติดตามให้มีการดําเนินงานตามนโยบายที่วางไว้ โดยคณะกรรมการดังกล่าวต้องเป็นผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ในด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ การบริหารความเสี่ยง หรือการบริหารงานสํานักหักบัญชีหรือสํานักหักบัญชีสัญญา
ข้อ ๗ สํานักหักบัญชีต้องจัดให้มีระบบที่มีประสิทธิภาพในการจัดการ รวบรวม ประมวลผล เก็บรักษา และเรียกดูข้อมูลเกี่ยวกับการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ การสํารองข้อมูลไว้ใช้ทดแทนในกรณีที่ไม่สามารถนําข้อมูลนั้นมาใช้ได้ และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เพียงพอแก่การป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่มีอํานาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ล่วงรู้หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลดังกล่าวได้
สํานักหักบัญชีต้องเก็บรักษาข้อมูลตามวรรคหนึ่งไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันที่ได้มาหรือวันที่มีการดําเนินการดังกล่าว เว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนจะสั่งเป็นประการอื่น
ข้อ ๘ สํานักหักบัญชีต้องจัดทําและส่งงบการเงินประจํางวดการบัญชีสําหรับรอบระยะเวลาหนึ่งปีที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นแล้วต่อสํานักงานจํานวนหนึ่งฉบับ พร้อมทั้งดําเนินการดังนี้
(1) เปิดเผยงบดุล งบกําไรขาดทุน และรายงานของผู้สอบบัญชีเพื่อให้ประชาชนตรวจดูได้ ณ ที่ทําการของสํานักหักบัญชี
(2) ลงประกาศงบดุล งบกําไรขาดทุน และรายงานของผู้สอบบัญชีในหนังสือพิมพ์รายวันแห่งท้องถิ่นอย่างน้อยหนึ่งฉบับ ตลอดจนส่งสําเนาหนังสือพิมพ์ฉบับที่ได้มีการลงประกาศดังกล่าวต่อสํานักงานจํานวนหนึ่งฉบับ
การดําเนินการตามวรรคหนึ่งต้องกระทําให้แล้วเสร็จภายในยี่สิบเอ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น แต่ไม่เกินสี่เดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี
ข้อ ๙ ในการจัดทํางบการเงินตามข้อ 8 สํานักหักบัญชีต้องจัดให้มีผู้สอบบัญชีเพื่อทําการตรวจสอบบัญชีและแสดงความเห็นต่องบการเงิน โดยผู้สอบบัญชีดังกล่าวต้อง
1. ไม่เป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้รับประโยชน์จากหุ้นที่ออกโดยสํานักหักบัญชี กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของสํานักหักบัญชีนั้น
2. ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานให้สอบบัญชีและลงลายมือชื่อเพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัทหลักทรัพย์ตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชี และไม่อยู่ระหว่างถูกสํานักงานสั่งพักการทําหน้าที่เป็นผู้สอบบัญชี
สํานักหักบัญชีต้องจัดให้มีสัญญากับผู้สอบบัญชีเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้สอบบัญชีให้ความร่วมมือกับสํานักงานในการจัดทําคําชี้แจงหรือนําส่งข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานสอบบัญชี หรือให้ความร่วมมือในเรื่องอื่น ๆ ตามที่สํานักงานร้องขอ
ข้อ ๑๐ สํานักหักบัญชีต้องจัดทําและเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่กําหนดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี
ในกรณีที่การจัดทําหรือการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องใดไม่มีมาตรฐานการบัญชีไทยครอบคลุมถึง ให้สํานักหักบัญชีปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีต่อไปนี้
(1) มาตรฐานการบัญชีของ International Accounting Standards Board
(2) มาตรฐานการบัญชีของ American Institution of Certified Public Accountants หรือ Financial Accounting Standards Board ในกรณีที่ไม่มีมาตรฐานการบัญชีตาม (1)
ในกรณีที่ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีในวรรคสอง (1) หรือ (2) ให้สํานักหักบัญชีระบุแหล่งที่มาของมาตรฐานการบัญชีดังกล่าวด้วย
ข้อ ๑๑ สํานักหักบัญชีต้องมีหลักเกณฑ์ในการรับสมาชิกที่โปร่งใสและเป็นธรรม โดยการกําหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวต้องคํานึงถึงความเหมาะสม ฐานะทางการเงิน และระบบการบริหารความเสี่ยงของผู้ซึ่งจะเป็นสมาชิก เป็นสําคัญ
ข้อ ๑๒ สํานักหักบัญชีต้องมีระเบียบหรือข้อบังคับที่ใช้บังคับกับสมาชิก มีมาตรการในการกํากับดูแลให้สมาชิกปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับดังกล่าว และมีมาตรการดําเนินการกับสมาชิกที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับ ทั้งนี้ สํานักหักบัญชีต้องประเมินการปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของสมาชิกในช่วงเวลาที่เหมาะสม พร้อมทั้งจัดทํารายงานผลการประเมินและการดําเนินการต่อสมาชิกที่ฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับให้สํานักงานทราบ
ข้อ ๑๓ สํานักหักบัญชีต้องมีระบบกํากับตรวจสอบฐานะทางการเงินและความเสี่ยงโดยรวมของสมาชิก โดยอย่างน้อยต้อง
(1) มีการประเมินและติดตามฐานะทางการเงิน ความมั่นคงทางการเงิน และระบบการบริหารความเสี่ยงของสมาชิกอย่างสม่ําเสมอ และมีมาตรการดําเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าฐานะทางการเงินและระบบการบริหารความเสี่ยงของสมาชิกเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของสํานักหักบัญชี
(2) มีมาตรการควบคุมหรือติดตามมูลค่าการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์คงค้างของสมาชิกและความเสี่ยงโดยรวมที่สมาชิกแต่ละรายมีต่อระบบการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (total exposure)
(3) มีระเบียบหรือข้อบังคับให้สํานักหักบัญชีสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ของสมาชิก รวมตลอดถึงข้อมูลอื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบการเป็นสํานักหักบัญชีกับตลาดหลักทรัพย์ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ศูนย์ซื้อขายสัญญา สํานักหักบัญชีสัญญา สํานักงาน และธนาคารแห่งประเทศไทยได้
ข้อ ๑๔ สํานักหักบัญชีต้องเผยแพร่ระเบียบ ข้อบังคับ และข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเป็นสํานักหักบัญชี ให้แก่สมาชิกหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสํานักหักบัญชีทราบ
ข้อ ๑๕ สํานักหักบัญชีต้องมีมาตรการรองรับเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินที่อาจมีผลกระทบต่อการให้บริการเป็นสํานักหักบัญชี โดยต้องกําหนดกรณีฉุกเฉินให้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมทั้งกําหนดขั้นตอนการดําเนินการและผู้รับผิดชอบในการดําเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวในแต่ละกรณีให้ชัดเจน
ข้อ ๑๖ สํานักหักบัญชีต้องยื่นรายงานหรือแสดงเอกสารใดตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวตามที่สํานักงานกําหนด
ข้อ ๑๗ สํานักหักบัญชีต้องมีมาตรการที่เพียงพอในการป้องกันมิให้กรรมการ ผู้บริหาร อนุกรรมการ ที่ปรึกษา พนักงาน ลูกจ้างหรือผู้ปฏิบัติงานให้แก่สํานักหักบัญชี แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ และมีมาตรการที่เพียงพอในการรักษาความลับของสมาชิกและลูกค้า
ข้อ ๑๘ เพื่อพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชนหรือคุ้มครองผู้ลงทุน ให้สํานักหักบัญชีเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ สมาชิก การกระทําความผิดและการลงโทษสมาชิก รวมตลอดถึงข้อมูลอื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบการเป็นสํานักหักบัญชี ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นสาระสําคัญต่อการทําธุรกรรมกับสมาชิก โดยการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต้องกระทําในลักษณะที่ทันต่อเหตุการณ์ มีข้อมูลเพียงพอ และผู้ลงทุนทั่วไปมีโอกาสได้รับข้อมูลอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ ประเภทของข้อมูล วิธีการและเงื่อนไขในการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ให้เป็นไปตามที่สํานักหักบัญชีกําหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
หมวด ๒ หลักเกณฑ์ในการประกอบการเป็นศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
ข้อ ๑๙ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ต้องส่งเสริมและรักษาความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใสและความเสมอภาคในการให้บริการเป็นศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ โดยระเบียบหรือข้อบังคับของศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ในเรื่องดังต่อไปนี้ต้องไม่มีข้อกําหนดที่เป็นการจํากัด ขัดขวางหรือลิดรอนสิทธิของผู้ฝากหลักทรัพย์ หรือจํากัดการบริการของศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
(1) หลักทรัพย์ที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์อาจรับฝาก หรือบุคคลที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์อาจอนุญาตให้เป็นผู้ฝาก
(2) การให้บริการฝาก ถอน และโอนหลักทรัพย์ หรือบริการอื่นใดที่เกี่ยวกับการให้บริการในงานศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
(3) อัตราค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย และค่าปรับที่เกี่ยวกับการให้บริการในงานศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
(4) การดําเนินการกับผู้ฝากหลักทรัพย์ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
ข้อ ๒๐ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ต้องจัดให้มีสัญญากับผู้ฝากหลักทรัพย์ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยต้องกําหนดขอบเขตและเงื่อนไขในการให้บริการรับฝากหลักทรัพย์อย่างชัดเจน
ข้อ ๒๑ การโอนหลักทรัพย์จากบัญชีผู้ฝากหลักทรัพย์รายหนึ่งไปยังบัญชีของผู้ฝากหลักทรัพย์อีกรายหนึ่ง หรือภายในบัญชีผู้ฝากหลักทรัพย์รายเดียวกัน โดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ที่ประกอบการโดยตลาดหลักทรัพย์ตามมาตรา 224 จะกระทําได้ต่อเมื่อศูนย์รับฝากหลักทรัพย์นั้นได้รับคําร้องขอจากผู้ฝากหลักทรัพย์ หรือเมื่อสํานักหักบัญชีได้แจ้งรายการการส่งมอบหลักทรัพย์ระหว่างสมาชิกที่ได้ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ในแต่ละสิ้นวัน ทั้งนี้ ให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ดําเนินการโอนหลักทรัพย์ให้เป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์กําหนด และเมื่อมีการบันทึกบัญชีการโอนหลักทรัพย์ตามระเบียบหรือข้อบังคับดังกล่าวแล้ว ให้การโอนหลักทรัพย์ดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ในกรณีที่เป็นการโอนหลักทรัพย์ระหว่างสมาชิกที่ได้ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง ให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ดําเนินการโอนหลักทรัพย์เมื่อได้รับแจ้งยืนยันการชําระราคาหลักทรัพย์จากสํานักหักบัญชี (delivery versus payment) และเมื่อศูนย์รับฝากหลักทรัพย์บันทึกบัญชีการโอนหลักทรัพย์แล้ว ให้ถือว่าการโอนหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นที่สุด (finality of settlement) โดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะยกเลิก แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงรายการมิได้
ข้อ ๒๒ ในการให้บริการเป็นศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ต้องจัดให้มีระบบงานดังต่อไปนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
(1) ระบบงานด้านการรับฝาก ถอน และโอนหลักทรัพย์ และระบบงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดําเนินการดังกล่าวมีความถูกต้องครบถ้วน ตรงต่อความเป็นจริงและเป็นปัจจุบัน รวมทั้งสามารถนําไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
(2) ระบบการจัดการ รวบรวม ประมวลผล เก็บรักษา และเรียกดูข้อมูลเกี่ยวกับการรับฝาก ถอน และโอนหลักทรัพย์ และข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวกับการให้บริการในงานศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ระบบสํารองข้อมูลไว้ใช้ทดแทนในกรณีที่ไม่สามารถนําข้อมูลนั้นมาใช้ได้ และระบบการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอแก่การป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่มีอํานาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ล่วงรู้หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลดังกล่าวได้
(3) ระบบการรายงานข้อมูลหลักทรัพย์ เพื่อให้ผู้ฝากหลักทรัพย์สามารถใช้ตรวจสอบข้อมูลหลักทรัพย์คงเหลือประจําวันในบัญชีฝากหลักทรัพย์และความถูกต้องในการทํารายการของผู้ฝากหลักทรัพย์
(4) ระบบตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่สั่งให้ดําเนินการเกี่ยวกับหลักทรัพย์ในบัญชีของผู้ฝากหลักทรัพย์เป็นผู้ฝากหลักทรัพย์หรือบุคคลที่ได้รับมอบอํานาจจากผู้ฝากหลักทรัพย์
(5) ระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพเกี่ยวกับข้อร้องเรียนหรือข้อพิพาทที่เกิดจากการใช้บริการในงานศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ต้องเก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับการฝาก ถอน และโอนหลักทรัพย์ของผู้ฝากหลักทรัพย์แต่ละราย รวมทั้งข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวกับการให้บริการในงานศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันที่ได้มาหรือวันที่มีการดําเนินการดังกล่าว เว้นแต่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนจะสั่งเป็นประการอื่น
ข้อ ๒๓ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ต้องจัดให้มีระเบียบหรือข้อบังคับที่กําหนดให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการฝาก ถอน และโอนหลักทรัพย์ และข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวกับการให้บริการในงานศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ รวมตลอดถึงข้อมูลอื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบการเป็นศูนย์รับฝากหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์ สํานักหักบัญชี ศูนย์ซื้อขายสัญญา สํานักหักบัญชีสัญญา สํานักงาน และธนาคารแห่งประเทศไทยได้
ข้อ ๒๔ ให้นําความในข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ 14 ข้อ 15 ข้อ 16 และข้อ 17 มาใช้บังคับกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ โดยอนุโลม
หมวด ๓ การขอความเห็นชอบระเบียบหรือข้อบังคับ
ข้อ ๒๕ ระเบียบหรือข้อบังคับของสํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ให้มีผลใช้บังคับเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ในกรณีที่ระเบียบหรือข้อบังคับของสํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์อาจมีผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจหรือประโยชน์ได้เสียของสมาชิกหรือผู้ฝากหลักทรัพย์ แล้วแต่กรณี ให้สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลดังกล่าว และจัดส่งรายงานการรับฟังความคิดเห็นนั้นให้คณะกรรมการกํากับตลาดทุนเพื่อประกอบการพิจารณาให้ความเห็นชอบ
การให้ความเห็นชอบระเบียบหรือข้อบังคับตามวรรคหนึ่งและการรับฟังความคิดเห็นตามวรรคสอง มิให้ใช้บังคับกับระเบียบหรือข้อบังคับที่เกี่ยวกับการบริหารงานภายในองค์กรของสํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
ข้อ ๒๖ เมื่อสํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ได้เสนอระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุนแล้ว คณะกรรมการกํากับตลาดทุนจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาให้สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์นั้นทราบภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับระเบียบหรือข้อบังคับและเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วนตามข้อ 27
เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว หากคณะกรรมการกํากับตลาดทุนไม่ได้แจ้งผลการพิจารณาหรือไม่ได้แจ้งให้มีการแก้ไขระเบียบหรือข้อบังคับดังกล่าวไปยังสํานักหักบัญชี หรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ให้ถือว่าระเบียบหรือข้อบังคับนั้นได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ข้อ ๒๗ ในการเสนอระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อขอความเห็นชอบ ให้สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการขอความเห็นชอบดังต่อไปนี้
(1) หนังสือแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับหลักการ เหตุผล และความจําเป็นในการออกระเบียบหรือข้อบังคับที่ขอความเห็นชอบ รวมทั้งประโยชน์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการออกระเบียบหรือข้อบังคับ ตลอดจนแนวทางในการบังคับใช้ระเบียบหรือข้อบังคับดังกล่าว
(2) รายงานการประชุมคณะกรรมการของสํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาระเบียบหรือข้อบังคับที่ขอความเห็นชอบ พร้อมทั้งเอกสารที่ใช้ประกอบการพิจารณา เช่น ระเบียบหรือข้อบังคับของต่างประเทศในเรื่องทํานองเดียวกัน เป็นต้น และในกรณีที่คณะกรรมการมีมติให้ความเห็นชอบระเบียบหรือข้อบังคับดังกล่าวไม่เป็นเอกฉันท์ ให้สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ระบุจํานวนกรรมการที่ไม่เห็นด้วยกับระเบียบหรือข้อบังคับนั้น รวมทั้งสรุปความเห็นของกรรมการที่ไม่เห็นด้วย
(3) บันทึกความเห็นของคณะอนุกรรมการของสํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ที่ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่พิจารณากลั่นกรองและเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับระเบียบหรือข้อบังคับที่ขอความเห็นชอบ ในกรณีที่มีการเสนอระเบียบหรือข้อบังคับต่อคณะอนุกรรมการ
(4) รายงานการรับฟังความคิดเห็นและเอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกหรือผู้ฝากหลักทรัพย์ พร้อมทั้งความเห็นของสํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ในเรื่องดังกล่าว
ข้อ ๒๘ ในกรณีที่ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการกํากับตลาดทุนอาจสั่งให้สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์กําหนดระเบียบหรือข้อบังคับเพิ่มเติม หรือยกเลิกหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงระเบียบหรือข้อบังคับที่มีอยู่แล้ว ตลอดจนอาจสั่งให้สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ดําเนินการใด ๆ ตามที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนเห็นสมควรได้
ข้อ ๒๙ ในกรณีที่มีความจําเป็น สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์จะออกระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อใช้บังคับเป็นการชั่วคราวได้โดยไม่ต้องดําเนินการตามข้อ 25
ในกรณีที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนเห็นว่า สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ดําเนินการตามวรรคหนึ่งโดยไม่สุจริตหรือไม่มีเหตุอันสมควร คณะกรรมการกํากับตลาดทุนอาจสั่งให้สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ยกเลิกหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงระเบียบหรือข้อบังคับดังกล่าว ตลอดจนดําเนินการใด ๆ ตามที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนเห็นสมควรได้
หมวด ๔ บทเฉพาะกาล
ข้อ ๓๐ ให้สํานักหักบัญชีหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ที่ประกอบการโดยตลาดหลักทรัพย์ตามมาตรา 224 จัดให้มีระเบียบหรือข้อบังคับและยื่นขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในประกาศนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ -
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ในการประกอบการเป็นสํานักหักบัญชีและศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ รวมทั้งกําหนดประเภทของทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีจะเรียกจากสมาชิกเพื่อเป็นประกันการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์และความมั่นคงของระบบ ตลอดจนกําหนดหลักเกณฑ์ในการโอนหลักทรัพย์โดยวิธีการบันทึกรายการในบัญชีที่จัดทําโดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,906 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 111/2545 เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล การพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) และกรณีคำนวณรายได้รายจ่าย ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 111/2545
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล การพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) และกรณีคํานวณรายได้รายจ่าย
ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
-----------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนําสําหรับการพิจารณาเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) และกรณีคํานวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้สถาบันการเงินดังกล่าวต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือกระทําการอย่างอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน ให้ถือว่ากรณีมีเหตุอันสมควรที่สถาบันการเงินดังกล่าวสามารถดําเนินการได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2545 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2545
ข้อ ๒ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นลูกหนี้ต้องโอนทรัพย์สินหรือให้บริการแก่สถาบันการเงินดังกล่าวโดยไม่มีค่าตอบแทน หรือมีค่าตอบแทนหรือค่าบริการต่ํากว่าราคาตลาด ให้ถือว่าการโอนทรัพย์สินหรือการให้บริการดังกล่าวมีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2545 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2545
ข้อ ๓ กรณีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนด และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้สถาบันการเงินดังกล่าวทําสัญญาหรือข้อตกลงให้ลูกหนี้ชําระเงินต้นก่อนการชําระดอกเบี้ยค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการ ให้ถือว่าเป็นกรณีที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้สถาบันการเงิน ดังกล่าวกระทําได้ตามมาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2545 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2545
ข้อ ๔ ในข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3
สถาบันการเงิน หมายความว่า
(1) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(2) ธนาคารออมสิน
(3) บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(4) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้ง ขึ้นสําหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
(5) บริษัทบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์
(6) บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
ลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ให้หมายความรวมถึง ผู้ค้ําประกันของลูกหนี้ด้วย
ข้อ ๕ ให้นําความในข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 มาใช้บังคับกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างเจ้าหนี้อื่นกับลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น ซึ่งได้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกําหนดมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ เฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่กระทําระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2545 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2545
เจ้าหนี้อื่น หมายความว่า เจ้าหนี้ที่มิใช่สถาบันการเงินซึ่งได้ดําเนินการเจรจาร่วมกับสถาบันการเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ และได้ทําความตกลงเป็นหนังสือร่วมกับเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน
ลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น หมายความว่า ลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินด้วย และให้หมายความรวมถึงผู้ค้ําประกันของลูกหนี้ด้วย
ข้อ ๖ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,907 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทด. 97/2552 เรื่อง การดูแลรักษาทรัพย์สินที่สำนักหักบัญชีได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทด. 97/2552
เรื่อง การดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชี
ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 และมาตรา 223/3 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 223 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก” หมายความว่า
(1) ทรัพย์สินที่สมาชิกนํามาวางไว้กับสํานักหักบัญชีเพื่อเป็นประกันการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ที่เกิดจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบต่อสํานักหักบัญชี
(2) ทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีได้รับมาเนื่องจากการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งของสมาชิกและของลูกค้า
(3) ทรัพย์สินที่สมาชิกนํามาวางไว้กับสํานักหักบัญชีเพื่อความมั่นคงของระบบการซื้อขายและการชําระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์
ข้อ ๒ ในการดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก ให้สํานักหักบัญชีปฏิบัติตามข้อกําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนว่าด้วยการดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 โดยอนุโลม
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ -
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ในการดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก ทั้งนี้ เพื่อให้ทรัพย์สินดังกล่าวได้รับความคุ้มครองและมีการจัดการอย่างระมัดระวัง จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,908 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทด. 98/2552 เรื่อง การดูแลรักษาทรัพย์สินที่สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทด. 98/2552
เรื่อง การดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีสัญญา
ซื้อขายล่วงหน้าได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 82 และมาตรา 83 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 34(2)แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 41 มาตรา 43 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการ ก.ล.ต. ทําหน้าที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“สํานักหักบัญชีสัญญา” หมายความว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการเป็นสํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
“ทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก” หมายความว่า
(1) ทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีสัญญาได้รับมาจากสมาชิกทั้งที่เป็นของสมาชิกและของลูกค้าเพื่อเป็นประกันการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(2) ทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีสัญญาได้รับมาเนื่องจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทั้งของสมาชิกและของลูกค้า
(3) ทรัพย์สินที่สมาชิกนํามาวางไว้กับสํานักหักบัญชีสัญญาเพื่อความมั่นคงของระบบการซื้อขายและการชําระหนี้ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ ๒ สํานักหักบัญชีสัญญามีหน้าที่และความรับผิดชอบในการดูแลรักษาทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิกโดยจะมอบหมายให้ผู้อื่นดําเนินการดังกล่าวแทนมิได้
การที่สํานักหักบัญชีสัญญาจัดเก็บทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิกตามวิธีการที่กําหนดในข้อ 4 มิให้ถือว่าเป็นการมอบหมายให้ผู้อื่นดูแลรักษาทรัพย์สินดังกล่าวแทนตน
ข้อ ๓ ในการดูแลรักษาทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก สํานักหักบัญชีสัญญาต้องดําเนินการดังต่อไปนี้
(1) จัดทําและเก็บรักษาบัญชีทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิกแยกจากบัญชีทรัพย์สินของสํานักหักบัญชีสัญญาโดยให้ดําเนินการแยกเป็นบัญชีของสมาชิกแต่ละรายด้วย รวมทั้งจัดทําและเก็บรักษาบัญชีทรัพย์สินของลูกค้าแยกจากบัญชีทรัพย์สินของสมาชิกให้ถูกต้องครบถ้วน ตรงต่อความเป็นจริงและเป็นปัจจุบัน
(2) จัดเก็บทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิกให้มีความมั่นคงปลอดภัยและมีรายการและจํานวนตรงตามที่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินตาม (1)
(3) จัดเก็บทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิกแยกจากทรัพย์สินของสํานักหักบัญชีสัญญาในลักษณะที่สามารถชี้เฉพาะได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิกโดยปราศจากเหตุสงสัย
(4) รายงานการดูแลรักษาทรัพย์สินดังกล่าวให้สมาชิกทราบภายในระยะเวลาที่เหมาะสมให้สํานักหักบัญชีสัญญากําหนดกฎเกณฑ์สําหรับการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง
ข้อ ๔ ในการดูแลรักษาทรัพย์สินที่ได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก หากสํานักหักบัญชีสัญญาได้ดําเนินการดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นการแยกทรัพย์สินตามข้อ 3(3) แล้ว
(1) ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินประเภทเงิน ให้จัดเก็บโดยการฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารอื่นที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น หรือลงทุนตามกรอบหรือนโยบายการลงทุนที่สํานักหักบัญชีสัญญากําหนด โดยให้ระบุว่าการฝากหรือการลงทุนดังกล่าวเป็นการดําเนินการโดยสํานักหักบัญชีสัญญาเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามที่กําหนดในมาตรา 83 ทั้งนี้ ให้ระบุวัตถุประสงค์ของการจัดเก็บดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนด้วย
(2) ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินประเภทหลักทรัพย์ ให้จัดเก็บโดยการฝากไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์หรือธนาคารแห่งประเทศไทยโดยให้ระบุว่าการฝากหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นการดําเนินการโดยสํานักหักบัญชีสัญญาเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามที่กําหนดในมาตรา 83 ทั้งนี้ ให้ระบุวัตถุประสงค์ของการจัดเก็บดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนด้วย
ข้อ ๕ ในการกําหนดกรอบหรือนโยบายการลงทุนตามข้อ 4(1) ให้สํานักหักบัญชีสัญญาคํานึงถึงสภาพคล่องและความเสี่ยงในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพของระบบการซื้อขายและการชําระหนี้ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ให้สํานักหักบัญชีสัญญารายงานกรอบหรือนโยบายการลงทุนที่กําหนดขึ้น ตลอดจนการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกรอบหรือนโยบายการลงทุนดังกล่าว ต่อสํานักงาน ก.ล.ต. โดยไม่ชักช้า
ข้อ ๖ สํานักหักบัญชีสัญญาต้องตรวจสอบและดูแลให้พนักงานปฏิบัติตามประกาศและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งสํานักหักบัญชีสัญญากําหนดขึ้นโดยเคร่งครัด
ข้อ ๗ ในกรณีที่ปรากฏต่อสํานักงาน ก.ล.ต. ว่าสํานักหักบัญชีสัญญาแห่งใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศหรือกฎเกณฑ์ที่สํานักหักบัญชีสัญญากําหนดขึ้น หรือดําเนินการที่ไม่เหมาะสมในการประกอบการเป็นสํานักหักบัญชีสัญญา สํานักงาน ก.ล.ต. อาจสั่งให้สํานักหักบัญชีสัญญาแห่งนั้นดําเนินการให้เป็นไปตามประกาศและกฎเกณฑ์ดังกล่าว หรือดําเนินการใดๆ ตามที่เห็นสมควรได้
ข้อ ๘ ให้บรรดาประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 52/2548 เรื่อง การดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก ลงวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดแห่งประกาศนี้ จนกว่าจะได้มีประกาศ คําสั่ง และหนังสือเวียน ที่ออกหรือวางแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ ๙ ในกรณีที่มีประกาศฉบับอื่นใดอ้างอิงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 52/2548 เรื่อง การดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก ลงวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ให้การอ้างอิงดังกล่าวหมายถึงการอ้างอิงประกาศฉบับนี้
ข้อ ๑๐ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552
(นายวิจิตร สุพินิจ)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หมายเหตุ - เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 กําหนดให้การออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก เป็นอํานาจของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อทดแทนประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 52/2548 เรื่อง การดูแลรักษาทรัพย์สินที่สํานักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้รับมาหรือมีไว้เพื่อสมาชิก ลงวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,909 |
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 110/2545 เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล และผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล
|
คําสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 110/2545
เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบกิจการ
ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล และผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้า
ระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล
-----------------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนําเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้แก่ ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล และผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล ตามข้อ 12/4 ของคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2544 กรมสรรพากรจึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคําสั่งนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
(1) คําว่า “ ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ” หมายความว่า ค่าระวาง (Freight) ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) เนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทย หรือเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกเก็บในหรือนอกประเทศไทย
(2) คําว่า “ ผู้ใช้บริการ ” หมายความว่า ผู้ส่งของออกนอกประเทศไทยซึ่งในคําสั่งนี้เรียกว่า Shipper หรือผู้รับของในประเทศไทยซึ่งในคําสั่งนี้เรียกว่า Consignee หรือ ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล ซึ่งในคําสั่งนี้ เรียกว่า Forwarder
(3) คําว่า “ บริษัทสายการเดินเรือไทย ” หมายความว่า บริษัทหรือห้าง หุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล
(4) คําว่า “ บริษัทสายการเดินเรือต่างประเทศ ” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศซึ่งประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล
ข้อ ๒ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการเดินเรือไทย โดยบริษัทสายการเดินเรือไทยออกใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการเดินเรือไทย โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการเดินเรือไทย เว้นแต่บริษัทสายการเดินเรือไทยเป็นบริษัทสายการเดินเรือที่เข้าลักษณะตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 314) พ.ศ. 2540 ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(2) กรณีการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการเดินเรือต่างประเทศ ทั้งนี้ ไม่ว่าบริษัทสายการเดินเรือต่างประเทศนั้นจะมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม โดยบริษัทสายการเดินเรือต่างประเทศออกใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการเดินเรือต่างประเทศ โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการเดินเรือต่างประเทศ
ข้อ ๓ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล ซึ่งเรียกว่า Forwarder ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) กรณี Forwarder ได้ออกใบตราส่งสินค้า (เฮ้าส์บิลออฟเลดิง) และออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ใช้บริการ (Shipper หรือ Forwarder รายอื่น) ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จาก Forwarder โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (เฮาส์บิลออฟเลดิง) และผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่ Forwarder
(2) กรณีบริษัทสายการเดินเรือได้ออกใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) ให้แก่ Forwarder ในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) แต่ออกใบเสร็จรับเงินในนามของ Forwarder ถือว่า Forwarder จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการเดินเรือ Forwarder จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการเดินเรือตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และ Forwarder มีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่บริษัทสายการเดินเรือในนามของตนเอง
กรณี Forwarder ตามวรรคหนึ่ง เรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยจากผู้ใช้บริการ (Shipper) โดยใช้ใบตราส่ง สินค้า (บิลออฟเลดิง) ของบริษัทสายการเดินเรือ และ Forwarder ได้ออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) ถือว่าผู้ใช้บริการ (Shipper) จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่ Forwarder ดังนั้น ผู้ใช้บริการ (Shipper) จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จาก Forwarder โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และผู้ใช้บริการ (Shipper) มีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่ Forwarder
(3) กรณี Forwarder จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการเดินเรือ โดยบริษัทสายการเดินเรือออกใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) ให้แก่ Forwarder ในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) และบริษัทสายการเดินเรือได้ออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) ด้วย ถือว่า Forwarder กระทําการเป็นตัวแทนของผู้ใช้บริการ (Shipper) ดังนั้น เมื่อ Forwarder ได้จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการเดินเรือในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) Forwarder จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการเดินเรือตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และ Forwarder มีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการเดินเรือ โดยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายของตนเอง และระบุชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ใช้บริการ (Shipper) ด้วย ต่อมาเมื่อผู้ใช้บริการ (Shipper) จ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจํานวนดังกล่าวคืนให้แก่ Forwarder ในภายหลัง ผู้ใช้บริการ (Shipper) ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
Forwarder ตามวรรคหนึ่ง มีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53 เป็นรายฉบับแต่ละรายของผู้ใช้บริการ (Shipper) โดยจะต้องระบุชื่อที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ใช้บริการ (Shipper) ในช่อง “ ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ” และระบุชื่อ Forwarder ในช่อง “ ผู้จ่ายเงิน ” ซึ่งกรมสรรพากรจะออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ (Shipper) และ Forwarder มีหน้าที่ต้องส่งสําเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ใบเสร็จรับเงินจากการยื่นแบบ ภ.ง.ด.53 และสําเนาแบบ ภ.ง.ด.53 ให้แก่ผู้ใช้บริการ (Shipper) ด้วย
ข้อ ๔ กรณีบริษัทสายการเดินเรือตามข้อ 2 และ Forwarder ตามข้อ 3 ออกเอกสารเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยไม่สามารถระบุค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยไว้ในบิลออฟเลดิง หรือในเฮาส์บิลออฟเลดิง บริษัทสายการเดินเรือ และ Forwarder สามารถออกเอกสารโดยระบุเฉพาะค่าระวาง (Freight) ไว้ในบิลออฟเลดิงหรือเฮาส์บิลออฟเลดิง และระบุค่าธรรมเนียม หรือประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยไว้ในเอกสารใบเรียกเก็บเงิน(อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เช่น Freight Invoice ก็ได้ แต่ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดดังกล่าวต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยระบบคอนเทนเนอร์เท่านั้น เมื่อผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินตามบิลออฟเลดิงหรือเฮาส์บิลออฟเลดิงและเอกสารใบเรียกเก็บเงิน (อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน ดังกล่าว ถือเป็นการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากบริษัทสายการเดินเรือ หรือ Forwarder แล้วแต่กรณี โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในบิลออฟเลดิงหรือเฮาส์บิลออฟเลดิงและเอกสารใบเรียกเก็บเงิน (อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกันนั้น
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยระบบคอนเทนเนอร์ ตามวรรคหนึ่ง ได้แก่
(1) ค่าบรรจุตู้คอนเทนเนอร์หรือค่าแกะสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ (Container Freight Station หรือ CFS)
(2) ค่าธรรมเนียมใบสั่งปล่อยสินค้า (Delivery Order Fee หรือ D/O)
(3) ค่าธรรมเนียมใบตราส่งสําหรับการขนส่งสินค้าขาออก (B/L Fee)
(4) ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนสถานะตู้คอนเทนเนอร์ (Status Fee)
(5) ค่าภาระท่าเรือ คือ ค่าใช้จ่ายในการนําตู้คอนเทนเนอร์ลงจากเรือหรือค่าย้ายตู้คอนเทนเนอร์หน้าท่าเรือไปยังลาน (Terminal Handling Charge หรือ THC)
(6) ค่าลากตู้ไปเปิดที่โรงงานกรณีการขนส่งสินค้าขาเข้า หรือค่าลากตู้ไปบรรจุสินค้าที่โรงงานและลากตู้กลับมาที่ท่าเรือกรณีการขนส่งสินค้าขาออก (Container Yard หรือ C/Y)
กรณีบริษัทสายการเดินเรือ หรือ Forwarder ตามวรรคหนึ่ง ระบุค่าบริการ หรือเรียกว่า Handling Charge (H/D) ไว้ในเอกสารใบเรียกเก็บเงิน (อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เช่น Freight Invoice ด้วย นอกเหนือจากรายการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยระบบคอนเทนเนอร์โดยแยกรายการอย่างชัดเจน เฉพาะค่าบริการ (Handling Charge) ถือเป็นค่าตอบแทนที่ผู้ใช้บริการจ่ายให้แก่บริษัทสายการเดินเรือ หรือ Forwarder ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการ (Handling Charge) นั้น ตามข้อ 12/1 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544 สําหรับรายการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยระบบคอนเทนเนอร์ที่ระบุไว้ในเอกสารใบเรียกเก็บเงิน (อินวอยซ์) หรือเอกสารอื่นที่มีลักษณะทํานองเดียวกันนั้น ถือเป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอยู่ในบังคับต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1.0
ข้อ ๕ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการเดินเรือ โดยบริษัทสายการเดินเรือออกใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) ให้แก่ผู้ใช้บริการ (Shipper) แต่บริษัทสายการเดินเรือเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในต่างประเทศจากผู้ซื้อในต่างประเทศบริษัทสายการเดินเรือต้องนํารายได้ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) ไม่ว่าจะเรียกเก็บในหรือนอกประเทศไทยมารวมคํานวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 หรือมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ผู้ใช้บริการ (Shipper) ไม่เป็นผู้จ่ายเงินจึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
กรณีบริษัทสายการเดินเรือตามวรรคหนึ่ง ได้ออกใบตราส่งสินค้า (บิล ออฟเลดิง) ให้แก่ Forwarder ในประเทศไทย แต่บริษัทสายการเดินเรือเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยในต่างประเทศ จาก Forwarder ในต่างประเทศ กรณีดังกล่าว Forwarder ในประเทศไทยไม่เป็นผู้จ่ายเงินได้ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และกรณี Forwarder ในประเทศไทยออกใบตราส่งสินค้า (เฮาส์บิลออฟเลดิง) ให้แก่ผู้ใช้บริการ (Shipper) หากใบตราส่งสินค้า (เฮาส์บิลออฟเลดิง) ดังกล่าว ระบุค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่เรียกเก็บในต่างประเทศ ผู้ใช้บริการ (Shipper) ไม่เป็นผู้จ่ายเงินได้ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๖ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการเดินเรือไทย โดยบริษัทสายการเดินเรือไทยออกใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 ของค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่บริษัทสายการเดินเรือไทย เว้นแต่บริษัทสายการเดินเรือไทยเป็นบริษัทสายการเดินเรือที่เข้าลักษณะตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 314) พ.ศ. 2540 ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
(2) กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่บริษัทสายการเดินเรือต่างประเทศ โดยบริษัทสายการเดินเรือต่างประเทศออกใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) และออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ โดยเหตุที่ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทย ไม่เป็นฐานในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ข้อ ๗ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล (Forwarder) โดย Forwarder กระทําการในฐานะเป็นตัวแทนของ Forwarder ในต่างประเทศ และ Forwarder ในประเทศไทย ได้ออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ ถือว่าผู้ใช้บริการจ่ายค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งไม่เป็นฐานในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่ผู้ใช้บริการมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จาก Forwarder ในประเทศไทย สําหรับค่าบริการ หรือเรียกว่า Handling Charge (H/D) โดยคํานวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 12/1 ของคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544
กรณี Forwarder ในประเทศไทยได้กระทําการในฐานะเป็นตัวแทน เรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยของ Forwarder ในต่างประเทศ Forwarder ในประเทศไทยจะต้องมีหลักฐานหรือเอกสารอื่นใดที่มีเนื้อหาแสดงว่ากระทําการในฐานะเป็นตัวแทนของ Forwarder ในต่างประเทศ
ข้อ ๘ ให้นําความในข้อ 4 มาใช้บังคับสําหรับการจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการรับขนของเข้ามาในประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล และผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล (Forwarder) ด้วย
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2545
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร
| 2,910 |
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 100/2552 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
|
ประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน
ที่ ทธ. 100/2552
เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อหรือมีหุ้น
ของบริษัทหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อ
เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และมาตรา 98(7) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 44 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกํากับตลาดทุนออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
(1) คําว่า “เงินกองทุน” ให้มีความหมายเช่นเดียวกับบทนิยามของคําดังกล่าวที่กําหนดไว้ในประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์และการให้ยืมหลักทรัพย์แก่ลูกค้าที่มิใช่ลูกค้าสถาบันเพื่อขายชอร์ต
(2) “บริษัทหลักทรัพย์” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
(3) “บริษัท” หมายความว่า บริษัทจํากัด บริษัทมหาชนจํากัด และให้หมายความรวมถึงนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ
ข้อ ๒ ให้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อหรือมีหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทนั้น และจํานวนเงินลงทุนในหุ้นของทุกบริษัทรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินกองทุน เว้นแต่ได้รับการผ่อนผันจากสํานักงาน
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552
(นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการกํากับตลาดทุน
หมายเหตุ - \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กําหนดห้ามบริษัทหลักทรัพย์ซื้อหรือมีหุ้น เว้นแต่เป็นการได้มาเนื่องจากประกอบการค้าหลักทรัพย์ การจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ หรือธุรกิจหลักทรัพย์อื่นตามที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนประกาศกําหนดหรือเป็นการได้มาโดยได้รับผ่อนผันจากสํานักงานตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการกํากับตลาดทุนประกาศกําหนด จึงเห็นควรออกประกาศเพื่อรองรับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 5/2539 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ ลงวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 จึงจําเป็นต้องออกประกาศนี้
| 2,911 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.